ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : นำประวัติพระเกจิ ที่น่าสนใจอีกรูปหนึ่ง มาแนะนำให้รู้จักกันครับ

(D)
พระเถระผู้เป็นดั่งเพชรซ่อนแสงแห่งเมืองสุพรรณ
ปรากฏเกียรติคุณความเข้มขลังมานานปี
ผู้เป็นบุตรบุญธรรมหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา
ผู้เป็นศิษย์รูปสำคัญแห่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่
ผู้เจนจบวิชาดวงแก้วพระสิวลี ด้วยเป็นศิษย์หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
สมณะสารูปเรียบง่าย สมถะ สันโดษ ไม่สนใจลาภยศตำแหน่งใดๆ
สำเร็จกสิณไฟ นั่งบนผิวน้ำ รู้ใจคน พูดกับลิงรู้เรื่อง
ขับมอเตอร์ไซค์บิณฑบาตร ฝนตกไม่เปียก ลองฤทธิ์กับเจ้าพ่อเขาเขียว
ถูกโจรปล้นโดนทำร้าย3ครั้งจนเกือบมรณะภาพ
แต่ไม่ยอมหนีรอใช้หนี้กรรม
โดนมีดอีเหน็บฟันจนกรามขวาหัก
มีด3เล่มแทงซี่โครงขวาหักไม่มีแผล หมอศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดแต่ว่ามีดผ่าไม่เข้า
เจ้าของฉายานามว่า จี้กง จอมขมังเวทย์แห่งเขาเขียว หลวงปู่ตี๋ เมืองสุพรรณ

หลวงปู่ตี๋ ฉันทธัมโม ป็นบุตรชายคนโตของ นาย ห้อย น้ำดอกไม้ และ นางกิมบี้ แซ่แต้ บิดาเป็นคนราชบุรีมารดา เป็นคนอำเภอ สองพี่น้อง เมื่อทั้งสองแต่งงานกันแล้วจึงอพยพโยกย้ายมาทำมาหากินอยู่ที่ตลาดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี โดยยึดอาชีพค้าขาย มีบุตรด้วยกัน 5 คนเป็นชาย 4 คน เป็นหญิง 1 คน
หลวงปู่ตี๋ เกิดที่ตลาดท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ 2467 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 9 ปีชวด โยมห้อยผู้เป็นบิดานั้นเป็นช่างก่อสร้างและช่างฝีมือประจำวัดหัวเขารุ่นเก่า ในยุคสมัยที่ยังมีหลวงพ่ออิ่ม สิริปุญโญ อดีตปรมาจารย์นามกระเดื่องเป็นเจ้าสำนัก ขณะนั้นวัดหัวเขาได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างมณฑปบนยอดเขาซึ่งนับว่าเป็นงานอันสำคัญ หลวงพ่ออิ่มจึงมอบหมายให้ช่างห้อยบิดาของท่านเป็นผู้ควบคุมดำเนินงาน หลวงปู่ตี๋ซึ่งอยู่ในวัยเด็กก็ได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามบิดามาอยู่กินนอนที่วัดหัวเขาเป็นประจำ จากวันเป็นเดือนจากเดือนเลื่อนไปเป็นปี จนกระทั่งหลวงปู่ตี๋เติบโตวิ่งเล่นเป็นเด็กวัดหัวเขาไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นอาจหมายถึงคำว่าบุญวาสนาที่เป็นกุศลผลกรรมอันน่ายินดี ที่ในกาลต่อมาหลวงปู่ตี๋ได้กลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของหลวงพ่ออิ่มที่ท่านรักและเฝ้าฝากฝังไว้กับบรรดาพระภิกษุต่างๆที่มาเรียนวิชากับท่านในยุคนั้นโดยเฉพาะกับหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่นั้น หลวงพ่ออิ่มท่านเชื่อมั่นในศิษย์ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเด็กน้อยผู้นี้นั้น ท่านเห็นแววแห่งอนาคตอันจะบังเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า กับคำทำนายของท่านที่ว่า ต่อไปไอ้ตี๋คนนี้จะบวชไม่สึก ฝากให้ท่านมุ่ยช่วยเป็นธุระสั่งสอนถ่ายทอดวิชาให้มันด้วย

เดี๋ยวขอตัวไปประชุมก่อนครับ เดี๋ยวค่อยกลับมาต่อกัน

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 10:58 น.]



โดยคุณ p_sak (653)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 11:40 น.] #932692 (1/22)
องคืนี้เก่งมากครับ นิตยสารเล่มหนึ่ง ไปขอลองวิชา โดยให้ลูกศิษเอาปลัดไปโยนน้ำ แล้วให้หลวงปู่นั่งในกุฏิเรียกปลัดวิ่งเข้ามาในบาตร หลวงปู่เก่งมากๆครับ

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 12:36 น.] #932798 (2/22)
หลวงปู่ตี๋ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่น่าเลื่อมใสมากครับ ชาวสุพรรบุรีต่างให้ความเคารพนับถือท่านเป็นอย่างมาก รวมถึงคณะศิษย์อีกหลายๆกลุ่ม ทั้งสายทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และรวมถึงกลุ่มนักธุระกิจด้วยครับ

อยากรู้ต้องลองตามค้นหา ชีวะประวัติของหลวงปู่ตี๋ กันดูนะครับ


โดยคุณ park_pinklao (79K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 13:33 น.] #932854 (3/22)
หลวงปู่ตี๋ วัดหัวเขาเหระคับ คนละรูปกับ หลวงปู่ตี๋ วัดหลวงราชาวาส ที่อุทัยธานี หรือเปล่าครับ ใครมีประวัติ ลองเล่าให้ฟังด้วยนะครับ เห็นว่าเหรียญของท่านแพง แล้วมีประสบการณ์เยอะเหมือนกัน

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 13:49 น.] #932864 (4/22)


(D)
(รูปนี้ถ่ายเมื่อปี 2551 จะเห็นว่าหลวงพ่อกรามขวาหัก พราะถูกโจรใจบาปทำร้าย)

มาต่อครับ

แม้แต่ในหมู่ศิษย์ยุคหลังอย่างหลวงพ่อกวยวัดโฆสิตาราม ที่มาเรียนวิชาที่วัดหัวเขา หลวงพ่ออิ่มท่านก็ไม่ลืมที่จะออกปากฝากเด็กน้อยก้นกุฏิอย่างหลวงปู่ตี๋ด้วย ดังปรากฏจากมรดกของหลวงพ่ออิ่มที่ท่านได้เมตตาทิ้งไว้ให้โดยมอบตำราให้ใว้เล่มหนึ่งโดยฝากไว้กับนายห้อยผู้เป็นบิดา บอกว่าเก็บไว้ให้ไอ้ตี๋มันด้วย สำหรับนายห้อยนั้นหลังจากที่เจ้าสำนักวัดหัวเขาได้ละสังขารไปเมื่อปีพ.ศ.2481แล้วก็คงมีชีวิตอยู่ยืนยาวมาอีกนานหลายปีแม้จะมีอุปัทวเหตุต่างหลายครั้งหลายหนก็ไม่เคยได้รับอันตรายอะไรทั้งสิ้นหลายคนเชื่อว่ามาจากวาจาสิทธิ์ที่ปรมาจารย์แห่งวัดหัวเขาได้ประสิทธิ์ประสาทพรอันศักดิ์สิทธิ์ให้ไว้ในกาลก่อนว่า “ คนอย่างมึงมันไม่ตายง่ายๆหรอกมึงต้องอยู่รอเอาตำราให้ใอ้ตี๋มันก่อน” และนายห้อยก็ตายยากอย่างที่หลวงพ่ออิ่มว่าไว้จริงๆ ตั้งแต่ครั้งที่ตกนั่งร้านศาลาวัดท่าช้างแล้วไม่เป็นอะไร ต่อมาได้ตกนั่งร้านแถวๆท่าข้าม และที่ฮือฮาอย่างมากก็คือคราวขึ้นใปปั้นลายประดับบนยอดปล่องเมรุวัดหัวเขา แกก็พลัดตกลงมาจากยอดเมรุที่สูงลิ่วหล่นลงพื้นท่ามกลางสายตาผู้คนที่เห็นเหตุการณ์มากมายมีผู้เห็นเหตุการณ์ช่วยเอายาหม่อง วนจมูก บีบๆนวดๆเท่านั้นแกก็ฟื้นมาเฉยๆไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งมาเสียชีวิตเอาเมื่อปี 2520ในวัยใกล้ร้อยปีทีเดียว

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 14:05 น.] #932867 (5/22)


(D)


(ส่วนนี้เป็นเนื้อหา ที่เคยลงในหนังสือ เล่มเก่า ๆ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น หลังสือ นะโม ปีประมาณ 253กว่า ๆ ถ้าจำผิดขออภัยด้วยครับ)


พี่ p_sak .... ผมก็เคยอ่านเจอเหมือกัน แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้ครับ

พี่บ้านพระระยอง ก็รู้จักหลวงปู่ด้วยหรือครับ นืบถือจริง ๆ สมกับที่ได้ยินมาว่า พระเกจิ เก่ง ๆ พี่บ้านพระระยองรู้จักหมด

พี่ park_pinklao .... หลวงปู่ตี๋ องค์นี้คนละองค์กับ หลวงปู่ตี๋ วัดหลวงราชาวาส ที่อุทัยธานี
องค์นี้ท่านอยู่สุพรรณบุรีครับ ปัจจุบันท่านอยู่ที่วัดท่ามะกรูด แต่สุขภาพท่านไม่ค่อยดี เป็นโรคหอบครับ

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 14:09 น.] #932868 (6/22)


(D)
(รูปถ่ายสมัยท่าน หนุ่ม ๆ )

สำหรับหลวงปู่ตี๋นั้น นับตั้งแต่วันที่หลวงพ่ออิ่มรับเป็นป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ท่านเองก็ไม่อยากจะกลับบ้านอีกต่อไปคงอยู่วัดปรนนิบัติรับใช้อยู่ภายในวัดหัวเขาจนกระทั่งหลวงพ่ออิ่มมรณภาพลงในปี พ.ศ.2481 ซึ่งเจ้าอาวาสรูปต่อมาก็คือ พระครูอเนกคุณากร(หลวงพ่อแขก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเขา ก็ยังคงอุปถัมภ์ค้ำชูหลวงปู่ตี๋ต่อมาโดยตลอด ทั้งสอนวิชาต่างๆให้โดยไม่มีปิดบัง ขณะนั้นหลวงปู่ท่านอยู่วัดหัวเขาก็เรียนหนังสีอขอมพร้อมบาลีจนกระทั่งอายุได้ 15 ปี (พ.ศ. 2482 ) ท่านก็ได้บรรชาเป็นสามเณรอยู่รับใช้หลวงพ่อแขกราว 5 พรรษา จนถึงอายุครบ 20 ปีจึงเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดเขาพระ ต. เขาพระ อ. เดิมบางนางบวช จ. สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ. ศ. 2487 เวลา 09 .39 น. โดยมีพระครูเอนกคุณากร (หลวงพ่อแขก) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า ฉันทธัมโม ภิกขุ อยู่วัดหัวเขาเรียนวิชากับหลวงพ่อแขกได้ 10 พรรษา จนล่วงถึง ปี พ.ศ. 2497 หลวงพ่อแขกผู้เป็นอุปัชฌาจารย์เห็นว่าอันวิชาความรู้ต่างๆก็มีอยู่พอจะรู้รักษาตนสามารถประคองเพศพรหมจรรย์ให้ยั่งยืนเป็นที่พึ่งแก่หมู่ชนทั้งหลายในภายภาคหน้า จึงเห็นสมควรแก่เวลาที่จะแนะนำพระเถระสำคัญยิ่งอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์รุ่นน้องของท่านเองที่กำลังเลื่องลือเกียรติคุณเป็นอย่างมากอยู่ในขณะนั้น ซึ่งนั่นก็คือหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ อดีตพระเกจิอาจารย์นามอุโฆษแห่งเมืองสุพรรณนั่นเอง

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 14:17 น.] #932876 (7/22)
เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาต่อตอนต่อไปนะครับ ว่าไปพบหลวงพ่อมุ่ยแล้ว ท่านจะเป็นอย่างไร จะพบเหตุการณ์อะไรบ้าง
ขอไปทำงานก่อนครับ

โดยคุณ p_sak (653)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 14:25 น.] #932878 (8/22)
จะคอยอ่านนะครับ ชอบครับเกจิเมืองสุพรรณดงเสือเก่า มันส์ดีครับ

โดยคุณ chanonk (4.2K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 14:53 น.] #932896 (9/22)
น่าสนใจมากครับ นานๆจะมีคนนำเรื่องแบบนี้มาลงให้ได้รู้ และ ทราบกัน
ประวัติหลวงปู่ น่าทึ่งจริงๆครับ สุดๆเลยครับ

โดยคุณ zapp8881 (1.1K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 15:29 น.] #932921 (10/22)
น่าเลื่อมใส ศรัทธาครับ
วัตรปฎิบัติดีๆแบบนี้หายากแล้วครับ

โดยคุณ Adisorn_p2519 (1.4K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 15:50 น.] #932949 (11/22)


(D)


เหรียญรุ่นแรก สร้างปี 13 หลวงปู่ตี๋ สำนักสงฆ์เขาเขียวพนาราม ปัจจุบันท่านอยู่วัดท่ามะกรูด สุดยอดครับทั้งประวัติที่โชคโชน และประสพการณ์ที่มากมาย จนทำให้หลายพื้นที่ไม่เฉพาะพื้นที่ใกล้เคียง ต่างเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่าน ไว้คุ้มครอง

โดยคุณ Adisorn_p2519 (1.4K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 16:06 น.] #932977 (12/22)


(D)


รูปหล่อรุ่นแรกสร้าง ปี 36 ปัจจุบันท่านอายุ 85 ยังมีโอกาศได้กราบพระเถระ ผู้สมถะ สันโดษ ขอเชิญครับที่ จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ท่านก็เข้ากรุงเทพฯบ่อยนะครับ ทราบข่าวแล้วอย่าพลาดนะครับ

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 16:29 น.] #933013 (13/22)
เลิกงานแล้ว กำลังจะกลับบ้านต่อให้อีกสักตอน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อกันใหม่ครับ

หลวงปู่ท่านเล่าว่าทันทีที่มาถึงวัดดอนไร่ ทันทีที่เข้าไปกราบนมัสการแล้ว พระเดชพระคุณท่าน หลวงพ่อมุ่ยนั้นยังคงจำหลวงปู่ได้ดี ถึงเด็กวัดก้นกุฏิอาจารย์ใหญ่วัดหัวเขา ที่ท่านเคยเฝ้าฝากฝังเอาไว้ตั้งแต่ครั้งเก่าก่อ้น ทันทีที่กราบเรียนแจ้งความประสงค์กล่าวถึงองค์อาจารย์ผู้แนะนำให้มาหา “เพียงเพื่อแวะมากราบนมัสการโดยที่ยังไม่ได้ตระเตรียมดอกไม้ธูปเทียนมาให้ทันกับวันเวลา ครั้นถึงเวลาหน้าเกล้ากระผมจะกลับมาใหม่” แต่ด้วย เมตตาธรรมแห่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อมุ่ยผู้มากล้นเปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารธรรม ก็ไม่รอช้าจูงมือภิกษุหนุ่มที่นั่งพนมมืออยู่ตรงหน้าเข้ากุฏิเริ่มสอนวิชาให้ในทันที โดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมดอกไม้ธูปเทียนมาแม้แต่กำเดียว ว่ากันว่าอันสรรพวิชาต่างๆที่บังเกิดมีและปรากฏให้เห็นเป็นองค์วิชาอันเข้มขลังและอัศจรรย์ใจในภาพของหลวงปู่ตี๋ที่เราทั้งหลายทั้งปวงรู้จักกันนั้น เริ่มปรากฏแสงอันเรืองรองมาจากพื้นฐานที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมุ่ยเป็นผู้ปูพื้นฐานวางไว้ให้ทั้งสิ้น ตั้งแต่การสำเร็จกสิณไฟเป็นเบื้องต้น จนถึงการปลุกเสกอักขระเลขยันต์แคล้วคลาดคงกะพันมหาอุดสารพัดสุดจะพรรณาก็ล้วนแต่สำเร็จมาจากสรรพวิชา การอบรมวางพื้นฐานจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อมุ่ยทั้งสิ้น

ท่านคร่ำเคร่งฝึกฝนกับหลวงพ่อมุ่ยอยู่นานราว 8 ปี ล่วงเข้าปี พ.ศ.2505 หลวงปู่ตี๋ในขณะนั้นก็เจริญก้าวหน้าในสรรพวิชาต่างๆแก่กล้าเจนจบในวิชาอาคม สูงส่งจนเป็นที่พอใจของอาจารย์ ซึ่งเริ่มปรากฏความขลังทางด้านนี้มาตั้งแต่ยังเป็นพระลูกวัดอยู่ที่หัวเขาในยุคหลวงพ่อแขกยังอยู่ด้วยซ้ำไป ที่เล่าลือกันก็คือเรื่องที่หลวงปู่ตี๋ได้ใช้วิชาอาคมอำนาจแห่งจิตอันแกกล้าอันเป็นผลจากการฝึกฝนมาจนชำนาญจากรากฐานวิชาแห่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อมุ่ยนั้น ปราบเปรตที่วัดหัวเขาจนสิ้นฤทธิ์ ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า เปรตต้นสำโรง อันเป็นสถานที่สิงสู่ที่อยู่ท้ายวัดติดกับป่าช้าที่น่าสพรึงกลัว โดยมักปรากฏว่ามีเปรตเที่ยวหลอกหลอนผู้คนจนเข็ดขยาดไปตามๆกัน ค่ำคืนหนึ่ง หลวงปู่ตี๋ออกมาเดินจงกรมรออยู่ที่ต้นสำโรง ดังที่ท่านคาดไว้ไม่ผิด เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ก็ปรากฏร่างเปรตตนหนึ่งสำแดงตนขึ้นมาต่อหน้า ร่างกายสูงใหญ่จนพ้นยอดสำโรง ส่งเสียงร้องโหยหวนชวนให้น่าหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยจิตที่สงบนิ่งอันมาจากการฝึกฝนมาอย่างดียิ่ง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้น ไม่ได้ทำให้หลวงปู่ท่านหวั่นไหวแม้แต่น้อย ท่านเอาไฟฉายส่องขึ้นไปดูเห็นพอหน้าเปรตที่ยืนค้ำทะมึนอยู่ก็จำได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวบ้านแถวๆนั้นนั่นเอง ซึ่งท่านเคยรู้ว่าสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่มักมีเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดที่ชอบยักยอกขโมยหยิบฉวยเอาไปไว้ที่บ้านอยู่เป็นอาจิญ พอหมดดับจิตสิ้นชีวิตจากความเป็นมนุษย์ที่สูงส่ง ผลแห่งกรรมอันหนักหนาก็ยังผลให้ไปเป็นเปรตอยู่ไปนานนับกัปกัลป์ ทันทีที่ท่านเห็นหน้าคนที่เคยรู้จักในร่างเปรตก็ปลงสังเวชในเวรกรรมที่มันต้องมาชดใช้ หลวงปู่ท่านแผ่เมตตาให้จนกระทั่งเสียงร้องโหยหวนนั้นค่อยๆพลันจางหายไป คืนนั้นหลวงปู่ท่านเลือกเอากุฏิหลังหนึ่งเป็นที่จำวัด เนื่องจากเหตุที่ว่าอยู่ใกล้ต้นสำโรงที่ว่า กุฏิหลังนี้จึงไม่ค่อยมีใครกล้ามาเหยียบ ภาพที่จะบรรยายได้ก็คือกุฏิไม้ทรงไทยโบราณที่เก่าแก่แทบทุกหลังนั้น น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือทุกๆห้อง จะต้องมีไม้กระดานพาดอยู่บนขื่อเป็นทางเดินระหว่างจั่วอยู่แทบทุกหลัง พอหลวงปู่กลับขึ้นกุฏิเพื่อเข้าจำวัดจัดแจงปัดกวาดสถานที่เรียบร้อยสวดมนต์แผ่เมตตาเสร็จ ก็เตรียมตัวจำวัด ขณะเอนกายลงนอนหันหน้าขึ้นมองหลังคา พลันสายตาก็เห็นผีสองตัวนั่งชันเข่าอยู่บนขื่อ ไอ้ตัวแรกไต่ตามไม้กระดานที่พาดนั้น ค่อยๆกระเถิบมาเรื่อยดูผมเผ้าของมันยาวรุงรังคลุมเลยหน้ายาวลงมาคลุมกระดานเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัว พอมันคลานมาถึงตำแหน่งที่หลวงปู่นอนไอ้ผีตัวแรกก็กระโดดลงใส่ทันที ฉับพลันก่อนที่มันจะถึงตัว หลวงปู่ท่านก็พลิกหนี เสียงมันกระแทกพื้นดังโครมสนั่น ทันทีที่หลบทันท่านก็คว้าผ้าไตรที่วางอยู่หันกลับมาฟาดมันอย่างแรงไอ้ผีสองตัวทั้งที่อยู่บนพื้นและที่อยู่บนขื่อก็พลันหายจ้อย หลวงปู่เล่าว่าขนาดแผ่เมตตาให้แล้วมันยังไม่เลิกรา ไหนๆกูก็ศิษย์มีครูเล่นกับกูอย่างนี้ท่านก็เลยทำวิชา ผูกผี เสียในคืนนั้น หลวงปู่ว่าวิชาที่ท่านใช้มัด และอำนาจมนต์ที่ท่านลงกำกับเอาไว้นั้นจะคงอยู่ไปอีกนานแสนนานจนกว่าผีเปรตทั้งสองนั้นจะสิ้นกรรมที่เคยทำมา จบเรื่องเปรตต้นสำโรงในคืนนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ใดได้พบเห็นเหตุการณ์ใดๆอีกเลย

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 16:32 น.] #933017 (14/22)
ว้าว.... พี่ Adisorn_p2519 มีทั้งเหรียญรุ่นแรก และรูปหล่อรุ่นแรก แถมสวยด้วย
สุดยอดจริง ๆ ครับ

โดยคุณ Ronado (10.1K)  [พ. 18 พ.ย. 2552 - 22:12 น.] #933372 (15/22)

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พฤ. 19 พ.ย. 2552 - 09:56 น.] #933773 (16/22)


(D)
รูปนี้เป็นตอนปลุกเสก เหรียญที่ระลึกอายุครบ ๘๔ ปี

(มาต่อกันครับ)

ต่อมาอีกครั้งที่หอสวดมนต์วัดหัวเขาซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าผีดุเหลือจะกล่าว พระเจ้ามันหลอกไม่มีเว้น เมื่อเล่าถึงเรื่องนี้ก็ต้องขยายไปถึงต้นเรื่องที่ มหาตู่หรือนายปฐวี น้ำแก้ว ผู้เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ตี๋ในปัจจุบันนี้ ได้กรุณาให้ข้อมูล จึงต้องลำดับที่มากันก่อนเนื่องจากมหาตู่ผู้นี้นั้น แกเป็นเด็กวัดหัวเขามาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น สาเหตุก็เนื่องจาก ผู้เป็นบิดาของมหาตู่นั้น ได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาสโดยออกเรือ มาบวชที่วัดหัวเขา แกบวชอยู่นานจนกระทั่งได้เป็นคู่สวดของหลวงพ่อแขกในเวลาต่อมา มหาตู่ก็เลยกลายมาเป็นเด็กวัดอยู่กับบิดา แปลกอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ มหาตู่นั้นเป็นเด็กที่ชอบท่องคาถาสนใจวิชาอาคม จนผู้เป็นบิดาเห็นแววเรื่องคาถาอาคมก็เลยยกให้เป็นศิษย์อาจารย์ตี๋ที่อยู่ร่วมสำนักกัน เพราะในขณะนั้นหลวงปู่ตี๋ยังไปๆมาระหว่างวัดหัวเขากับวัดดอนไร่ เพื่อพากเพียรเรียนวิชาอยู่นานหลายปี ถึงเวลาที่อาจารย็ตี๋มาวัดดอนไร่คราใด เด็กชายตู่ครั้งนั้นก็กลายเป็นศิษย์ติดตามสะพายย่ามให้อาจารย์ตี๋แทบทุกครั้ง สำหรับอาจารย์ตี๋นั้น ถึงแม้จะเป็นแค่พระลูกวัดธรรมดาๆ แต่หากว่านับเอาวิชาอาคมหรือว่าสมาธิจิตแล้วนั้น พระภิกษุหนุ่มอย่างอาจารย์ตี๋ในเวลานั้นไม่เป็นรองใครในวัดหัวเขาทั้งสิ้น แม้แต่กระทั่งหลวงพ่อแขกผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ก็ตามที ดังเรื่องที่ท่านต้องส่งมาเรียนวิชากับหลวงพ่อมุ่ยดังที่กล่าวใว้ในตอนต้น สำหรับหลวงพ่อแขกนั้นแม้จะเป็นศิษย์รุ่นพี่โดยที่หลวงพ่อมุ่ยเป็นเพียงศิษย์รุ่นน้อง แต่ความแก่กล้าในวิชาอาคมนั้น ท่านยกย่องยอมรับหลวงพ่อมุ่ยมาตั้งแต่ต้นจนเป็นที่รู้กันในหมู่ศิษย์วัดหัวเขารุ่นเก่ากันมาว่า ในบรรดาศิษย์หลวงพ่ออิ่มทั้งหมดนั้นหลวงพ่อมุ่ยนับว่าเป็นเลิศกว่าศิษย์ร่วมสำนักทั้งปวง แม้แต่หลวงพ่ออิ่มผู้เป็นอาจารย์ยังออกปากถึงความเป็นเลิศดังกล่าว ดังมีปรากฏในสมุดบันทึกหลวงพ่ออิ่มที่หลวงปู่ตี๋ได้รับมาเป็นมรดกนั้น ก็ยังกล่าวยกย่องถึงท่านมุ่ย วัดดอนไร่ไว้หลายครั้งหลายตอน จึงไม่แปลกที่หลวงปู่ตี๋ในฐานะศิษย์วัดดอนไร่ จะไม่ทำให้เสียชื่อเสียงของอาจารย์

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พฤ. 19 พ.ย. 2552 - 09:58 น.] #933775 (17/22)
ครั้งหนึ่งบิดาของมหาตู่ขึ้นไปนั่งสานตระกร้าบนหอสวดมนต์ขณะที่กำลังนั่งสานตระกร้าเพลินๆก็เห็นผีตัวหนึ่งขึ้นไปนั่งอยู่บนไม้กระดานที่พาดอยู่บนขื่อ เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวไต่ ไปตามไม้กระดาน มันทำอยู่นาน จนเห็นว่าบิดาของมหาตู่ไม่กลัว ก็ออกมาโผล่หน้าที่ช่องหน้าต่างแทน บิดาของมหาตู่เริ่มรำคาญก็เอาตระกร้าที่กำลังสานอยู่ตีที่หน้ามันหลายครั้ง ตีจนกระทั่งก้นตระกร้า ยุบผีมันก็ยังไม่หนี แกจึงลงมาตามหลวงปู่ตี๋ไปจัดการเพราะรำคาญเต็มทน หลวงปู่ท่านชวนมหาตู่ขึ้นมาที่หอสวดมนต์ด้วยกัน จัดแจงเอาเทียนสองเล่มมาปักบนพื้น แล้วนั่งสมาธิเพ่งไปยังแปลวเทียน ชั่วครู่เปลวเทียนที่สงบนิ่ง ก็พลันเริ่มสว่างและพุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งสว่างไสวไปทั่งบริเวณ เปลวเทียนพุ่งสูงถึงหลังคาหอสวดมนต์จากนั้นก็หักมุมออกไปด้านข้างพุ่งเปลวอันร้อนแรงออกไปยังหน้าต่าง มหาตู่ขณะนั้นยังเป็นเด็กน้อยไม่ค่อยรู้อะไรเอาแต่นั่งเกาะเอวหลวงปู่ด้วยความกลัวเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็เดาเอาว่าหลวงปู่น่าจะเพ่ง กสิณไฟ เพื่อไปเผาผี เพราะนับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นผีที่หอสวดมนต์อีกเลย

โดยคุณ kwang (2.3K)  [พฤ. 19 พ.ย. 2552 - 09:59 น.] #933776 (18/22)
หลวงปู่เฝ้าพากเพียรเดินทางไปมาหาสู่ยังวัดดอนไร่มิได้ย่อท้อนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 เป็นต้นมา ด้วยความที่มากด้วยพรรษาคุณธรรมมโนธรรมที่สั่งสมอบรมมาโดยลำดับ ยังเป็นที่วางใจในองค์อาจารย์เป็นอย่างยิ่งและในฐานะศิษย์รักท่านสั่งสอนมากับมือถึงเวลาที่จะต้องส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าในวิทยะฐานะที่คู่ควร จนกระทั่งในปี2509 วัดกระเสียวขาดเจ้าอาวาสที่จะปกครอง หลวงพ่อมุ่ยในฐานะเจ้าคณะตำบลหนองสะเดาได้ส่งหลวงปู่ตี๋มาเป็นเจ้าอาวาสวัดกระเสียวซึ่งเป็นวัดหนึ่งในเขตปกครองของท่าน วัดกระเสียวเป็นวัดที่มีทำเลดีมีอาณาเขตติดกับ อ.เดิมบางนางบวช โดยมีคลองกระเสียวเป็นเส้นแบ่งเขตอำเภอ เมื่อหลวงปู่ไปอยู่ก็มีผู้เคารพนับถือทางเครื่องรางของขลังมากเป็นลำดับ เวลาที่มีชาวบ้านแถบวัดกระเสียวมาหาหลวงพ่อมุ่ยท่านก็มักเปรยๆให้ฟังเสมอว่า ที่กระเสียวก็มีดอกบัวบานอยู่ทำไมไม่ไปหากัน แต่ด้วยความแตกต่างระหว่างหลวงพ่อมุ่ยนั้นท่านเป็นพระที่พูดน้อยหรือแทบไม่พูดเลยและเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมอย่างล้นเหลือ ซึ่งยังไม่นับอำนาจตบะเดชะความแก่กล้าแห่งจิตตานุภาพที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากจนยากที่จะหาพระเถระรูปใดๆมาเทียบเคียงได้เสมอเหมือน เมื่อตอนที่พระปลัดทวี วัดบ้านกร่าง สร้างพระขุนแผนรุ่นจงอางศึก และรุ่นกองพลเสือดำนั้น ได้นิมนต์หลวงพ่อมุ่ยไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก ปรากฏว่าท่านนั่งเสกอยู่นาน เสกเสร็จเป็นรูปสุดท้าย พอลืมตาขึ้นก็เอามือตบเข่าเบา ๆพระขุนแผนที่กองอยู่นั้นก็กระเด็นซู่ซ่ากระจายเป็นวงกว้างอยู่ตรงเบื้องหน้าท่านเป็นรัศมี ด้วยอำนาจแห่งจิตของท่านครั้งนั้นเป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้มาร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่พระเถระต่างๆที่มาร่วมพิธีในครั้งนั้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเดินมาหยิบพระขุนแผนที่ว่าโดยเลือกเอาเฉพาะตรงหน้าหลวงพ่อมุ่ยที่กระเด็นขึ้นมานั้นใส่ย่ามไปเป็นกำมือ ซึ่งนั่นคือเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นสำหรับหลวงพ่อมุ่ย เมืองสุพรรณฯ ผู้ยิ่งใหญ่

โดยคุณ บ้านพระระยอง (2.3K)  [พฤ. 19 พ.ย. 2552 - 11:14 น.] #933915 (19/22)


โดยคุณ Pornnutcha_22 (1.2K)  [พฤ. 19 พ.ย. 2552 - 11:43 น.] #933944 (20/22)
ผ่านมาเจอเลยอ่านแล้วรู้สึกน่าเลื่อมใส พระเถระผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า มีเมตตา คุณธรรม มโนธรรม นับว่าหายากแล้วกับยุคสมัยไฮเทคนี้

โดยคุณ zapp8881 (1.1K)  [พฤ. 19 พ.ย. 2552 - 21:21 น.] #934707 (21/22)
ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึก เลื่อมใส ศรัทธา
อยากจะได้แผนที่คร่าวๆ อยากไปกราบท่านสักครั้ง

โดยคุณ พรโกสีย์ (7.5K)  [อ. 01 ธ.ค. 2552 - 12:31 น.] #948219 (22/22)

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM