ชื่อพระเครื่อง | เคาะเดียว!! เหรียญหลวงพ่อท่านเลิบ รุ่นทรัพย์รุ่งโรจน์๙๙ หลวงพ่อท่านเลิบ วัดทองตุ่มน้อย จ.ชุมพรื เนื้อทองแดง |
รายละเอียด | รุ่นทรัพย์รุ่งโรจน์๙๙ หลวงพ่อท่านเลิบ วัดทองตุ่มน้อย จ.ชุมพร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้จัดสร้างเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ตามดำริของหลวงพ่อท่านเลิบครับ ประสบการณ์เพียบ ทั้งแคล้วคลาด เมตตา ของดี ราคาย่อมๆครับ
อ่านประวัติท่านได้เลยครับ
พ่อท่านเลิบ ฐิตสทฺโท นามเดิมว่า นายเลิบ พรหมสวัสดิ์ เกิดวันพุธที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๕๕
ตรงกับวัน ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีชวด ณ บ้านท่ากระดาน หมู่๓ ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
เป็นบุตรของนายหีต พรหมสวัสดิ์ และนางคลี่ ทองคำ พ่อท่านเลิบ เกิดในตระกูลชาวนา
ที่ค่อนข้างจะมีฐานะดีในตำบลท่าหิน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นประถม ๔
ซึ่งถือว่าเป็นระดับการศึกษาที่สูงมากในสมัยเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว
ครอบครัวท่านได้มีความผูกพันกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
โดยปู่และพ่อท่านก็ได้บวชเป็นพระและอยู่ครองผ้ากาสาวพักต์จนวาระสุดท้ายด้วย
และตัวท่านเองก็ได้รับการปลูกฝังในด้านพุทธศาสนามาอย่างดี
โดยครอบครัวของท่านนั้นจะไม่มีการล่าสัตว์หรือจับสัตว์ทุกชนิดมาทำอาหารหรือกักขังไว้
แม้กระทั่งเครื่องมือที่ใช้ในการจับสัตว์ครอบครัวท่านก็ไม่สะสมไว้เลย ท่านเป็นเด็กที่เรียบร้อยว่านอนสอนง่าย
แต่ท่านเองก็มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวหากถูกรังแกก็จะไม่ยอมใครเช่นกัน
ด้วยเหตุที่ท่านมีความใกล้ชิดพระพุทธศานาท่านจึงมีโอกาสได้ฟังธรรมและได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ
จากครูบาอาจารย์ตั้งแต่เยาว์วัย ถือว่าท่านนั้นเป็นผู้ที่มีวิชาดีคนหนึ่งในสมัยนั้น ท่านจึงคิดที่จะบรรพชา
เพื่อที่จะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ในวัย ๑๗ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร
โดยมีท่านเจ้าคุณเฒ่า วัดโตนด จังหวัดหลังสวน(ปัจจุบันอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร) เป็นพระอุปัชฌาย์
และสามเณรเลิบก็ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดท่ากระดาน ขณะนั้นได้มีพระอาจารย์ตาบ
ซึ่งท่านธุดงค์มาจากจังหวัดกาญจนบุรี ได้มาพำนักอยู่ ณ วัดท่ากระดาน สามเณรเลิบเมื่อได้พบ
และสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ตาบรูปนี้แล้ว ท่านก็เกิดความศรัทธาเป็นอย่างมาก ท่านจึงได้ติดตามพระอาจารย์ตาบ
เพื่อไปศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นเวลา ๒ พรรษา ต่อมาภายหลังสามเณรเลิบ
ก็ต้องลาสิกขาบทเนื่องด้วยมารดาของท่านได้ขอร้องให้ท่านมาครองเรือน เป็นหัวหน้าครอบครัว
เนื่องด้วยบิดาของท่านได้ลาอุปสมบทระหว่างดำรงชีวิตในเพศฆราวาสท่านก็ยังมิได้ละทิ้งการปฏิบัติธรรม
ท่านยังมีความเมตตากับเพื่อนมนุษย์ โดยท่านได้สรรพวิชาต่างๆที่ได้ร่ำเรียนมาในครั้งเป็นสามเณร
ท่านคงใช้สมาธิและวิชาอาคมสงเคราะห์ชาวบ้านอย่างเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคกองลม
โรคอัมพฤกษ์-อัมพาต ตำรายาแผนโบราณ การทำน้ำมนต์แก้คุณไสยต่างๆ พร้อมใช้สมาธิ
ในการตรวจดูว่าคนป่วยนั้นว่าถูกคุณไสยทำหรือป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ตามวิชาที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากพระอาจารย์ตาบ
โดยหลังจากที่พระอาจารย์ตาบ ได้มีการทดลองว่าพ่อท่านเลิบ ได้สำเร็จวิชาต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่พ่อท่านเลิบ
จะลาพระอาจารย์ตาบ ท่านได้มอบเหล็กไหลศักสิทธิ์ให้กับพ่อท่านเลิบมาไว้ป้องกันตัว
ท่านก็ได้พกติดตัวอยู่ตลอดมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตามวิสัยของวัยรุ่นก็มักจะมีการไปเกี้ยวผู้หญิง
ท่านได้ไปจีบลูกสาวแขกบ้านหนึ่ง และได้นัดพบเจอกันในเวลากลางคืน เมื่อพ่อสาวเจ้ารู้เข้าก็ได้ติดตามมา
เมื่อพบพ่อสาวเจ้าก็ได้ชักปืนออกมายิงใส่นายเลิบทันที แต่ด้วยอานุภาพของเหล็กไหลศักสิทธิ์
ที่พระอาจารย์ตาบให้มาทำให้ปืนนั้นมิสามารถทำอันตรายนายเลิบได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อปีพ.ศ.๒๔๗๗ ครั้นท่านมีอายุ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์เกษตร
อำเภอสวี จังหวัดชุมพร มีเจ้าคุณพัด วัดสามแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยการอุปสมบทครั้งนี้
เป็นการบวชตามประเพณีไทยของชายไทยทุกคน เพื่อที่จะเป็นการทดแทนพระคุณบิดา-มารดา
สมดั่งที่เป็นชายไทยในร่มเงาของพระพุทธศาสนา การบวชครั้งนี้ท่านก็ได้ปฏิบัติสมณกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด
ไม่มีด่างพร้อมเลยแม้แต่น้อย ท่านได้อุปสมบทอยู่ได้ ๒ พรรษา จึงได้ลาสิกขาบทมาเพื่อดูแลทางบ้านอีกครั้ง
ระหว่างที่ท่านดำรงชีวิตเป็นฆราวาสอยู่นั้น ท่านได้มีสหายชาวชุมพร ชื่อว่านายนุ้ยร่วมกัน
เดินทางไประหว่างชุมพร และนครศรีธรรมราช เพื่อทำงานเลี้ยงดูครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ
ท่านได้ประกอบอาชีพด้วยความสุจริตในอาชีพเมื่อครั้นเก็บสะสมเงินทองได้จำนวนหนึ่ง
ท่านก็จะนำเงินที่เก็บหอมรอมริบนำมาเพื่อให้ทางครอบครัวได้ใช้จ่าย
ในระหว่างการเดินทางระหว่างชุมพรและนครศรีธรรมราชหลายครั้งท่านมีโอกาสได้ใช้วิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ตาบ หลายครั้ง
เมื่อครั้งที่ท่านจะเดินทางกลับจากนครศรีธรรมราช แต่ท่านยังมีปัจจัยไม่อำนวย ท่านจึงตกลงกับสหายว่า
เราจะเดินทางไปตามตามรางรถไฟ ค่ำไหนนอนนั่น โดยจะอาศัยบ้านผู้ใหญ่บ้านบริเวณนั้นเป็นหลัก
โดยครั้งนั้นท่านได้เดินทางมาถึงบริเวณบ้านเขาหัวควาย ซึ่งบ้านผู้ใหญ่แหบ ท่านก็ได้ให้พักอยู่ด้วย
แต่ผู้ใหญ่ก็มีความกลัว ๒ หนุ่มจะเป็นโจรผู้ร้าย เพราะผู้ใหญ่เองก็มีลูกสาวอีก ๒ คนอยู่ด้วย
ผู้ใหญ่จึงได้ให้ไปพักที่ชานบ้าน พ่อท่านจึงคิดว่าจะแสดงให้ผู้ใหญ่บ้านนั้นทราบว่าท่านนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ใจจริงๆ
ท่านจึงได้ท่องอาคมขมวดปมเกลียวเชือกเป็นคล้ายๆงู เอาวางไว้บริเวณผ้าเช็ดเท้า
โดยหวังว่าเมื่อผู้ใหญ่ออกมาเข้าห้องน้ำ ก็จะลองวิชาของตน ปรากฏว่าคืนนั้น ลูกสาวคนหนึ่งของผู้ใหญ่บ้าน
เดินออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ ขากลับเข้าบ้านก็ได้เช็ดเท่าบริเวณผ้าเช็ดเท้า ลูกสาวผู้ใหญ่ก็ร้องมาว่าถูกงูกัด
ผู้คนในบ้านจึงได้ตื่นมากันหมด ผู้ใหญ่บ้านก็ตกใจ ขอความช่วยเหลือกับ 2 ผู้มาพักอาศัย
พ่อท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้เป็นหมองูและไม่มีความรู้เรื่องรักษาพิษงู แต่ท่านมีเพียงวิชาน้ำมนต์รักษาโรคเท่านั้น
ผู้ใหญ่บ้านจึงให้พ่อท่านทำน้ำมนต์รักษาโรค ท่านจึงใช้วิชาทำน้ำมนต์ที่ท่านเรียนจากพระอาจารย์ตาบ
รดให้กับลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ทันใดนั้นอาการเจ็บปวดบริเวณขาที่ถูกงูกัดนั้น ก็หายไปอย่างปลิดทั้ง
เช้าวันต่อมาก่อนท่านจะลาเดินทางต่อทางผู้ใหญ่แหบและครอบครัวได้จัดข้าวปลาอาหาร
เลี้ยงดูท่านและสหายเป็นอย่างดี และยังให้ไปกินกลางทางอีกด้วย นับว่าเป็นการพิสูจน์ตนว่า
ตนเองมีความบริสุทธิ์และยังเป็นการเตือนสติให้ผู้ใหญ่แหบ มองคนในแง่ดีมากขึ้น
ท่านได้ออกเดินทางต่อมาถึงเขตอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้ไปพักที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเหมือนเดิม
ในค่ำคืนนั้นได้มีลูกบ้านได้มาแจ้งกับผู้ใหญ่บ้านว่าควายของตนได้หายไป ผู้ใหญ่บ้านจึงได้ปลุก ๒
ผู้พักอาศัยเพื่อมาช่วยกันตามหาควายในคืนนั้น พ่อท่านจึงใช้สมาธิตรวจดูว่าควายนั้นได้ไปอยู่ที่ใด
โดยท่านได้ทำนายกับเจ้าของควายไว้ ๒ ข้อคือ ข้อที่ ๑ ท่านได้ทำนายว่าควายตัวนั้นเป็นตัวผู้ใช่หรือไม่
ซึ่งก็เป็นจริง และในข้อที่ ๒ ท่านได้บอกว่าคนขโมยนั้นได้พาควายไปทางทิศใต้ ให้ไปดักช่วงใกล้รุ่งก็จะพบ
ปรากฏว่าก็เป็นจริงดั่งที่ท่านทำนายทั้งหมด
เมื่อท่านเดินทางกลับมาที่บ้าน ณ บ้านหนองปลา หมู่๗ ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
มารดาของท่านก็ได้จัดให้ท่านได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางช้อย ผุดเพชรแก้ว โดยมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้น ๒ คน
เป็นบุตร ๑ คน ธิดา ๑ คน โดยตลอดการครองเพศฆราวาสในครั้งนี้ ท่านก็เป็นคนที่มีใจรักมั่นในศีลธรรม
เข้าวัดฟังธรรมและไม่ผิดศีล ๕ เสมอมา ดำรงชีพด้วยอาชีพที่สุจริตมาโดยตลอด
เมื่อครั้งที่ท่านมีครอบครัวอยู่นั้น ได้อยู่ที่บ้านทุ่งเหรี่ยง ตำบลท่าหิน ท่านได้เป็นเขยใหม่
ในหมู่บ้าน ท่านก็ได้ตระเตรียมที่จะสร้างเรือน จึงได้ไปยืม ช้าง จากเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาชักลากไม้เสา
ที่เลื่อยแล้วมาทำบ้าน เพื่อนบ้านก็มิให้ยืม ถึงแม้ว่าท่านจะไปขอยืมถึง๓ครั้งก็ตาม กลางดึกคืนนั้น
ท่านจึงได้ลองวิชาที่พระอาจารย์ตาบได้สอนมา โดยได้ทำน้ำพระพุทธมนต์อธิฐานจิตแล้วก็ดื่ม
ปรากฏว่าเสาบ้านทั้ง ๑๖ นั้น( เป็นไม้เคี่ยม หน้ากว้าง ๘ นิ้ว ยาว ๘ เมตร ) ท่านสามารถยก
และเคลื่อนย้ายด้วยตัวเองได้ทั้งหมดภายในคืนเดียว
หลังจากนั้นไม่นานพ่อท่านได้พนันกับเพื่อนว่าหากตนนั้นหาบข้าวจำนวน ๑๐๐ เลียง
( ๑ เลียงเท่ากับข้าว ๑ กำมือ ซึ่งที่จริงแล้วหนักมากจะต้องใช้ควายตัวโตๆถึงจะแบกได้)
ถ้าหากตนเองนั้นหาบไหว เพื่อนๆก็จะต้องให้เหล้าเถื่อน จำนวน๑ขวดแก่ท่าน
ท่านจึงได้ทำน้ำมนต์
ขึ้นอีกครั้งแล้วก็ตั้งจิตแล้วดื่ม ปรากฏว่ายกข้าว๑๐๐เลียงนั้นสำเร็จจนทำให้เพื่อนๆต้องเสียพนันแก่พ่อท่าน
(ภายหลังเมื่อพ่อท่านบวชแล้ว ท่านก็ได้สั่งสอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมันไม่ดี)
ครั้นปีพ.ศ.๒๕๐๖ท่านมีอายุได้ ๕๐ ปี ท่านเองได้เห็นว่าทางครอบครัว
ได้มีความเป็นอยู่ที่พร้อมเพรียงบริบูรณ์ดีแล้ว ไม่มีภาระอะไรที่จะต้องเป็นห่วงอีก ท่านจึงได้ตัดสินใจออกบวช
ดั่งความปรารถนาตั้งแต่ต้นของท่าน ในครั้งนี้ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์เกษตร
โดยมี พระราชธรรมเมธี(เจ้าคุณเปียก) วัดโตนด เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์หีต โกสโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์
โดยดำรงสมณเพศในธรรมยุติกนิกาย ระหว่างเป็นภิกษุนั้นท่านได้เพรียบพร้อมไปด้วยจริยวัตรอันดีงาม
ปฏิบัติสมณกิจมิเคยด่างพร้อย พ่อท่านไม่เคยละทิ้งการปฏิบัติกิจวัตรของพระป่านิกายธรรมยุติ
คือการอยู่ป่าธุดงค์เป็นนิจ ท่านคงยังธุดงค์ออกไปหาความสงบเงียบเรื่อยๆไป แต่หากเมื่อท่านพบวัด
หรือสำนักสงฆ์แห่งใดที่ชำรุดทรุดโทรมหรือที่นั่นต้องการความช่วยเหลือ ท่านก็จะหยุดพำนักเพื่อเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง
ในการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ไม่ว่าจะเป็น วัดท่ากระดาน (วัดที่ท่านจำพรรษาครั้งเป็นสามเณร)
วัดท่าหิน ในอำเภอสวี ท่านก็ได้อยู่พำนักจนสร้างพระอุโบสถเสร็จ ๑ หลัง หรือจะเป็นสำนักสงฆ์ห้วยใหญ่ ท่านก็ได้ไปพัฒนาจนเจริญรุ่งเรือง
ท่านเล่าให้ฟังว่าในคืนหนึ่งขณะที่ท่านภาวนา พุทโธ นั้นท่านได้เกิดสภาวะที่จิตสงบและนิ่ง
และในขณะนั้นเองจิตท่านเกิดความสว่างพร่างพรู ท่านบอกว่าข้อธรรมะใดที่ติดค้างก็กระจ่าง
หมดเหมือนกับการหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆที่หยุดรั้งท่านเอาไว้มาแสนนาน
ท่านบอกว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก เรามีศีล และมีสมาธิ จึงทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาและในปี๒๕๑๒
ท่านได้มีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในภาคใต้ในสมัยนั้นพ่อท่านทองได้มอบตะกรุดให้ท่าน ๑ ดอก
พร้อมทั้งสอนคาถากำกับและวิธีทำตะกรุดให้โดยละเอียด
เมื่อครั้งที่พ่อท่านเลิบได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าหิน อำเภอสวี ได้มีโยมมาให้ท่านช่วยเหลือเรื่อง
การสู่ขอผู้หญิงให้ลูกชาย ครั้งที่ไปคุยกันก่อนจะทำการสู่ขอจริงพ่อ-แม่ฝ่ายหญิงก็ตกลงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
แต่พอนัดยกขันหมากจริงๆแล้วปรากฏว่าพ่อ-แม่ฝ่ายหญิงกลับปฏิเสธ
พ่อท่านจึงตรวจเช็คด้วยสมาธิ ท่านจึงบอกว่าทางฝ่ายหญิงได้ทำคาถาทอดแขนงไว้
ใครมาขอผู้หญิงก็จะปฏิเสธทุกรายไป พ่อท่านจึงได้ทำพิธีแก้และทำลายมนต์คาถาที่ฝ่ายหญิงได้กระทำไว้
และได้ให้ไปสู่ขอใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเป็นที่น่าอัศจรรย์
(ปัจจุบันหญิง-ชายคู่นั้น ก็ได้แต่งงานกันอยู่กินมาถึงปัจจุบัน)
มีอยู่วันหนึ่ง พ่อท่านเลิบก็ได้บอกกับสามเณรวิโรจน์ว่า ถ้ามีพ่อคนป่วยมาสอบถาม เรื่องลูกไม่สบายนั้น
ให้ตอบคนผู้นั้นไปว่า หลวงพ่อรักษาไม่ได้ ไปให้คนอื่นรักษา สามเณรวิโรจน์ก็ได้เก็บความสงสัยไว้
และเมื่อมีโอกาสได้ถามพ่อท่านเลิบ ว่าเหตุใดจึงได้ปฏิเสธการรักษา พ่อท่านเลิบก็ตอบว่าพ่อท่านได้ตรวจดูแล้ว
ว่ารักษาอย่างไรก็ไม่หาย เพราะเด็กผู้นั้นได้ถูกเจ้าที่ในขณะเดินทางไปบ้านญาติ
พ่อท่านได้ตรวจด้วยสมาธิแล้วนั้นท่านบอกว่า เจ้าที่จะเอาชีวิตเด็กคนนี้ และเจ้าที่
ยังบอกพ่อท่านอีกว่าท่านเป็นพระอย่ามายุ่งเรื่องฆราวาส
เรื่องของสามเณรวิโรจน์ ที่วัดท่าหิน เมื่อครั้งปีพ.ศ.๒๕๑๒ สามเณรวิโรจน์ ได้อยู่ที่กฏิริมคลอง
ท่านก็ได้ยินเสียงดนตรีไทยมาจากในทอน(บริเวณป่าริมคลอง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้)
ขณะนั้นเวลาได้๑๗.๐๐-๑๘.๐๐น.หรือภาษาใต้เรียกว่าเวลามุ้งมิ่ง สามเณรวิโรจน์เกิดความสงสัย
จึงได้ขึ้นไปถามพ่อท่านเลิบ พ่อท่านก็ได้บอกเณรว่าให้ไปซ้อมสวดพระอภิธรรมไว้ซิ
เดี๋ยวจะได้ไปสวดพระอภิธรรม แล้วท่านก็หยุดพูด สามเณรก็กลับกุฏิไปด้วยความสงสัย
พอวันรุ่งขึ้นมีชาวบ้านมานิมนต์พระเณรไปสวดพระอภิธรรมที่บ้านงานศพ สามเณรเลยคลายความสงสัยลง
ปีพ.ศ.๒๕๑๖ท่านก็ได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพ ณ วัดเพลงวิปัสสนา เพื่อเข้าศึกษาการวิปัสสนาเพิ่มเติม
กับพระครูสมาธิวัตร ซึ่งวัดเพลงวิปัสสนาเป็นวัดในมหานิกาย ซึ่งไม่สะดวกในการปฏิบัติ
ท่านจึงได้ทำการแปรญัตติจากธรรมยุตินิกายเป็นมหานิกาย ในวันที่๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๖
ณ พัทธสีมาวัดเพลงวิปัสสนา กรุงเทพมหานคร โดยมีพระครูสังวรสมาธิวัตรเป็นพระอุปัชฌาย์
และหลังจากที่ท่านได้ศึกษาจากทางด้านวิปัสสนาเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงลาพระครูสมาธิวัตรเพื่อเดินทางกลับมายังชุมพร
โดยทานได้เดินลัดเลาะมาตามชายทะเล
ในพ.ศ.๒๕๒๑ ท่านมาพบกับวัดทองตุ่มน้อย ท่านก็คิดว่าที่นี่เป็นที่ๆสงบถูกสัปปายะในการดำรงในสมณเพศของท่าน
ท่านจึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดทองตุ่มน้อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนปัจจุบันท่านมีอายุ ๙๘ ย่าง ๙๙
ท่านยังคงมีเมตตากับศรัทธาญาติโยมที่เข้ามาขอความช่วยเหลือในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น
การรักษาทางสมุนไพร ทางคาถาอาคม แต่ท่านเองก็จะบอก กับชาวบ้านเสมอให้ยึดมั่นในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
เชื่อมั่นให้หลักกฎแห่งกรรม คนเรากระทำสิ่งใดไว้ก็ย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน ควรดำรงตนปฏิบัติสัมมาอาชีพ
ยึดหลักกุศลกรรมบถ10 คือ กายกรรม3(ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ผิดในกาม) วจีกรรม4
(ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่งเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเหลวไหล)
และมโนกรรม3 (ไม่โลภ ไม่คิดปองร้ายใคร เห็นตรงตามคลองธรรม)
ไม่ว่าศิษย์ยานุศิษย์ จะมาจากที่ใด ท่านก็จะให้ความเมตตาเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ
สั่งสอนศิษย์ด้วยหลักธรรมเดียวกันและให้ความเสมอภาคด้วยกันทั้งสิ้น
ฝ่าเท้าดอกจันทร์
ใต้ฝ้าเท่าของท่านจะมีเส้นลายเท้าเป็นรูปดอกจันทร์ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าหากให้ท่านเหยียบที่หัวแล้ว
อาการเจ็บป่วยที่มีอยู่นั้นจะหายไป หรือบางคนก็ให้ท่านเหยียบหัวแล้วอธิษฐานขอในเรื่องต่างๆ
และบางคนก็ให้ท่านเหยียบเพื่อเป็นสิริมงคลคล้ายกับว่าเชิญดาวมาประทับที่หัวเพื่อคอยคุ้มครองภัยอันตรายที่จะเข้ามาแผ้วพาน
ขอบคุณข้อมูลจากเวปร่มโพธิ์ไทรครับ |
ราคาเปิดประมูล | 390 บาท |
ราคาปัจจุบัน | -- ยังไม่มีผู้เสนอราคา -- (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!) |
เพิ่มขึ้นครั้งละ | 10 บาท |
วันเปิดประมูล | - 05 ก.พ. 2556 - 09:42:39 น. |
วันปิดประมูล | - 12 ก.พ. 2556 - 09:42:39 น. (ปิดประมูลแล้ว) |
ผู้ตั้งประมูล | khunarwut (526)
|