(0)
วัดใจ เคาะแรก ปลัดอิ้นคู่ จันทร์ซ้อนจันทร์ ลป.เณร คัมภีโร วัดบ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องวัดใจ เคาะแรก ปลัดอิ้นคู่ จันทร์ซ้อนจันทร์ ลป.เณร คัมภีโร วัดบ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี
รายละเอียดหลวงปู่เณร คัมภีโร
สำนักสงฆ์บ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด
พระปลัดเอกนรินทร์ หรือ หลวงปู่เณร คัมภีโร สำนักสงฆ์บ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี ต.แวง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด พระเกจิดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งแดนอีสานใต้ เป็นผู้ใฝ่หาพระเวทย์วิทยามาตั้งแต่เยาว์วัย ถูกเรียกว่า “หลวงปู่เณร” มาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ พรหมลิขิตได้หักเหให้ท่านต้องออกจากบ้านตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ เพื่อไปศึกษาปฏิบัติธรรมเรียนสรรพเวทวิชาทั้งสายพม่า-ลาว-เขมร ท่านเป็นพระหนุ่มไม่กี่รูปในเมืองไทยที่ศึกษาพระเวทย์วิทยามาอย่างเจนจบและรู้แจ้ง จัดอยู่ในประเภทมากครูมากอาจารย์ ประโยคที่ว่า “ธุดงค์ไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ” นั้นเหมาะสมกับตัวท่านมากที่สุด ท่านเคยไปศึกษากับหลวงปู่คำพันธ์ วัดพระธาตุมหาชัย , หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร , พระอาจารย์คำ แห่งภูเขาควาย ประเทศลาว , เคยเรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน , หลวงพ่อฤาษีลิงดำ , เคยไปเรียนวิชาสร้างนกคุ้มกับหลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู , เรียนวิชาสร้างหุ่นพยนต์กับอาจารย์หม่อง ชาวเขมร , หลวงพ่อเซดอร์ ประเทศพม่า , เรียนการสักยันต์ จากสำนักหลวงพ่อเปิ่น , เรียนวิชาเป่าทองเข้าหน้าผากกับหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จ.นครปฐม ฯลฯ นอกจากนั้นท่านยังเป็นสายญาณของปู่ฤาษีตาไฟ คือมีจิตวิญญาณทิพย์ของปู่ฤาษีตาไฟประทับผ่านร่างของท่านในบางโอกาสที่เหมาะสม เพื่อโปรดลูกศิษย์ลูกหา เช่นในขณะทำพิธีครอบครูและไหว้ครู พระฤาษีตาไฟ นี้ท่านมีฤทธิ์อำนาจแรงกล้า ถ้าหากเปิดตาที่สามขึ้นมาเมื่อใด สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าท่านอาจมอดไหม้กลายเป็นจุลภายในพริบตา โบราณจึงไม่นิยมสร้างเศียรฤาษีตาไฟให้มีตาที่สามบนหน้าผาก (เพราะแรงเกินไป บางสำนักอาจไม่ทราบความจริงข้อนี้ จึงเผลอสร้างตาที่สามเปิดอยู่ โดยไม่รู้ตัว คงคิดว่าสวยงามเท่กว่ามีสองตา โปรดระวังจะต้องอาถรรพ์ได้) พระฤาษีตาไฟข้อนข้างดุ พูดจาเสียงดัง แต่มีจิตใจเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ชอบสร้างทานบารมี สามารถบนบานบอกกล่าวได้ เหนือสิ่งอื่นใด หลวงปู่เณรท่านปรารถนาจะให้สานุศิษย์ มีศรัทธาในพระรัตนตรัย มีการเข้าวัด ถือศีล ฟังธรรม ปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นต้น ผลประโยชน์จะเกิดแก่ผู้ปฏิบัติเอง แต่ถ้าใครปรารถนาจะมีวัตถุมงคล ไว้เป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต ท่านก็ไม่ได้ห้าม…ห้ามอย่างเดียว คือ ห้ามคนชั่วไปใช้เท่านั้น……เพราะมันจะไม่เกิดผลใดๆ เลย…….
ชาติภูมิ
หลวงปู่เณร มีนามเดิมว่า “เอกนรินทร์ อนันตภักดิ์” เกิดเวลาเที่ยงตรง วันอังคาร ขณะพระอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า ของเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ณ บ้านเลขที่ ๑๕๙ หมู่บ้านโนนสวรรค์ ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตรของนายสุนทรและนางนวล อนันตภักดิ์ มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องเมื่อครั้งเยาว์วัยเป็นเด็กที่ร่าเริง พูดจาฉาดฉาน เป็นที่รักของคนในครอบครัวและบุคคลรอบข้าง เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ ก็เข้าเรียนตามปกติ มีวิถีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป พออายุได้ ๗ ขวบ (ปี ๒๕๓๐) ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ท่านล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ โยมบิดา-มารดาพยายามหาทางรักษาทั้งการแพทย์สมัยใหม่และแพทย์สมัยโบราณ ตลอดจนรักษาในทางไสยศาสตร์ อาการป่วยก็ไม่ดีขึ้นตราบจนกระทั่งมีพระสงฆ์รูปหนึ่งได้ผ่านมาพบ จึงบอกว่า “เด็กคนนี้มีญาณของบรมครูฤาษีตาไฟคุ้มครองอยู่ ให้แต่งพานครู (ขันธ์ห้า) เพื่อรับญาณฤาษีตาไฟไว้กับตัว”สาเหตุที่ถูกเรียกว่า “หลวงปู่เณร” มาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ก็เพราะมีญาณของปู่ฤาษีตาไฟประทับผ่านร่างดังกล่าวข้างต้น เวลาที่ปู่ฤาษีตาไฟลงประทับร่าง เด็กชายเอกนรินทร์ก็จะกลายเป็นคนแก่เดินหลังโกงไปในบัดดล ญาติโยมที่พบเห็นจึงพากันเรียกว่า “หลวงปู่เณร” ตั้งแต่บัดนั้น โยมบิดา-มารดา รักและห่วงใยบุตรชายคนนี้มาก บิดา-มารดาจึงได้ปฏิบัติตามคำของพระสงฆ์รูปนั้นที่แนะนำไว้ เป็นที่น่าแปลกอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อตั้งพานครูบอกกล่าวรับญาณปู่ฤาษีตาไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านเอกนรินทร์ในวัยเด็กก็มีอาการดีขึ้นทันที สามารถวิ่งเล่นซุกซนได้ตามปกติ แต่ที่แปลกแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นตรงที่ว่า เด็กชายเอกนรินทร์จะมีสัมผัสพิเศษ สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ คือชอบพูดชอบบอกญาติพี่น้องรอบข้างอยู่ตลอด ว่าจะเกิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้น และเหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นเสมอ……นอกจากนี้ ท่านยังชอบศึกษาพระธรรม การปฏิบัติกรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ ถ้าว่างเมื่อไหร่มักจะไปคลุกคลีอยู่กับพระสงฆ์ตามวัดใกล้บ้าน ท่านเอกนรินทร์ในวัยเพียง ๙ ขวบ ได้ขออนุญาตหลวงพ่อชิต ทำการฝึกสมาธิกรรมฐานด้วย ตอนนั้นปี ๒๕๓๒ ได้เริ่มออกจากบ้านไปแสวงหาวิชา เริ่มจากติดตามหลวงพ่อชิตไปที่วัดถ้ำแฝด จ.กาญจนบุรี ช่วงนั้นได้พบเห็นหลวงพ่อสัมฤทธิ์สาวน้ำตาเทียนและฝังเหล็กไหล จึงจดจำวิชาดังกล่าวแบบครูภัคลักจำ (ครูภัค = ภควดี (สรัสวดี)เป็นครูอักษรและมารดาพระเวท) ต่อมาหลวงพ่อชิตออกธุดงค์ไปกราบหลวงพ่อยิด ณ วัดหนองจอก อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงขอติดตามไปด้วย ระหว่างทางหลวงพ่อชิตจึงฝึกฝนให้นั่งสมาธิและปฏิบัติกรรมฐานอยู่เสมอ เมื่อถึงวัดหลวงพ่อยิด ท่านเอกนรินทร์ได้อยู่รับใช้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อยิด เมื่อได้เห็นวิธีการปลุกเสกปลัดขิกตำหรับหลวงพ่อยิด ซึ่งหลวงพ่อยิดสามารถเสกปลัดขิกวิ่งวนในบาตรได้ ก็เริ่มจดจำเคล็ดวิชาและกรรมวิธีต่างๆ ไว้จนขึ้นใจแบบครูภัคลักจำไว้เช่นกัน นับเป็นวิชาแรกๆ ที่ได้มา พักอยู่ที่วัดหลวงพ่อยิดได้ ๓ สัปดาห์จึงกราบลาหลวงพ่อยิดเดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์ ความที่ชื่อจังหวัดเป็นมงคล ในวัยเด็กท่านเอกนรินทร์คิดนึกเอาเองว่า ต้องเป็นเมืองสวรรค์อย่างแน่นอน ตอนนั้นท่านพกเงินติดตัวไปถึงสามหมื่นบาท ไปพอเจอ หลวงพ่อปัญญา วัดโกรกพระ โดยบังเอิญหลวงพ่อปัญญาจึงพาไปที่วัด โดยให้เป็นลูกศิษย์วัด หลวงพ่อปัญญารูปนี้ชอบสร้างมีดหมอ พระขรรค์ และคทา ท่านเอกนรินทร์ในวัยเด็กจึงศึกษาจดจำวิธีการสร้างจนหมดสิ้น (แบบวิธีครูภัคลักจำเหมือนเดิม)
จากนั้นได้ไปเรียนวิชากับ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย ได้วิชาสร้างนกคุ้ม อยู่นั่นเป็นเวลา ๑ เดือนจึงกราบลาหลวงปู่พิมพา จากนั้นได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาอยู่วัดสุทธาวาส (วัดใหม่ตาสุด) เข้ากราบถวายตัวรับใช้หลวงพ่อประมาณ ซึ่งเชียวชาญวิชาเหยียบน้ำมนต์รักษาโรค ท่านเอกรินทร์พยายามขอเรียนวิชา แต่หลวงพ่อประมาณเห็นว่ายังเด็กอยู่ จึงไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้ ทำได้แค่ลักจำวิชาเอาไว้ เนื่องจากเป็นเด็กที่มีความจำเป็นเลิศ จึงทรงจำวิชาไว้จนหมดสิ้น อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อประมาณได้ ๒ เดือน ก็กราบลาแสวงหาวิชาต่อไป ต่อมาได้ไปอยู่กับหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ถวายตัวเป็นศิษย์วัดคอยปรนนิบัติ ยามว่างก็ช่วยลูกศิษย์หลวงพ่อแพทำพระสมเด็จสายรุ้ง อันเป็นสูตรเฉพาะของหลวงพ่อแพ ต่อมาขอกราบฝากตัวเพื่อขอเรียนวิชา หลวงพ่อแพให้ไปฝึกทำสมาธิให้ได้ก่อน จึงเริ่มฝึกสมาธิกรรมฐานอยู่ประมาณ ๑ เดือน ต่อจากนั้นได้ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ประมาณ ๑ เดือนเช่นกันได้พัฒนาความรู้ขึ้นมาอีก ต่อจากนั้นได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่มีความชำนาญในด้านสมถะและวิปัสนากรรมฐาน ได้ถ่ายทอดวิชามโนมยิทธิให้ เป็นวิชาที่สอนให้ลูกศิษย์ได้เห็นนรก-สวรรค์-พรหม และนิพพานด้วยตนเอง เป็นการฝึกจิตให้เกิดสมาธิ กำหนดจิตให้รู้ให้เห็นได้ตามกำลังสมาธิวิปัสสนาแห่งตน ฝึกวิชาอยู่กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นเวลา ๓ เดือนก็สำเร็จ มีจิตคิดที่จะบวชอยู่กับท่าน แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้มรณภาพไปเสียก่อน
บรรพชาเป็นสามเณร
อีก ๑ ปีต่อมา คือปี ๒๕๓๔ จึงเดินทางมาที่จังหวัดนครพนม เข้ากราบขอเป็นลูกศิษย์และขอบรรพชาเป็นสามเณรกับหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปญฺโญ วัดพระธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม หลวงปู่คำพันธ์จึงเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกของสามเณรเอกนรินทร์ อยู่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่คำพันธ์ได้ ๑ เดือน ได้เรียนวิชาการปลุกเสกวัตถุมงคลจากหลวงปู่คำพันธ์จนสำเร็จ จึงกราบลาออกเดินธุดงค์แบบบินเดี่ยว มุ่งหน้าสู่อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี แล้วเดินทางกลับมาจำพรรษาต่อที่วัดเกาะแก้วอัมพวัน ต.ธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ด้วยความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม และต้องการศึกษาวิทยาคมอยู่เป็นนิจ พอออกพรรษาสามเณรเอกรินทร์จึงออกธุดงค์อีกครั้ง เพื่อเสาะแสวงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม คราวนี้มุ่งสู่ประเทศพม่าธุดงค์ผ่านไปทางเจดีย์สามองค์ มีโอกาสได้พบกับ หลวงพ่อเชดอร์ พระอาจารย์พม่าผู้ชำนาญไสยเวทย์ด้านถอดถอนคุณไสย แก้อาถรรพ์ต่างๆ จึงศึกษาวิชาอาคมสายพม่าอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน ก่อนธุดงค์กลับมาที่วัดเกาะแก้วอัมพวัน จังหวัดนครพนม ระหว่างที่อยู่ที่วัดเกาะแก้วอัมพวันนั้น สามเณรเอกนรินทร์ได้หมั่นศึกษา ทบทวนวิชาทั้งหมดที่ได้เรียนมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นับได้ว่าท่านศึกษาวิชาต่างๆ มาอย่างมากมายจริงๆ แต่ท่านกลับคิดว่าตนเองรู้น้อยอยู่เสมอ ทำตัวเสมือนแก้วที่ว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้เติมความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ อันเป็นวิสัยแห่งนักปราชญ์ หรือผู้คงแก่เรียนอย่างแท้จริง..ออกจาริกต่อโดยมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งไสยศาสตร์ ที่นครวัด ประเทศกัมพูชา เพื่อเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ ได้พบกับอาจารย์หม่อง อาจารย์ฆราวาสที่มีคนเคารพนับถือมากในแถบนครวัด เชี่ยวชาญในหลายแขนงวิชา ทั้งวิชามนต์เสน่ห์ แคล้วคลาด คงกระพัน และแก้อาถรรพ์ ถอดถอนคุณไสย การทำน้ำมนต์ดอกบัวบาน วิชาการสร้างปลุกเสกหุ่นพยนต์ กุมารทอง สาลิกาด้วยความมุ่งมั่นบวกกับความสามารถพิเศษที่ติดตัวมา ทำให้สามเณรเอกนรินทร์ศึกษาวิชากับอาจารย์หม่องนานถึง ๓ เดือน สำเร็จวิชาหลายแขนงก่อนกราบลาอาจารย์กลับสู่ประเทศไทย มุ่งหน้าธุดงค์เข้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร แห่งถ้ำหินผานางคอย ต.หนามแท่ง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ได้รับการถ่ายทอดวิชาดวงธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขรรค์ และดวงธรรมพ่อปู่ฤาษี จากหลวงปู่พรหมมาจนสำเร็จทุกประการ
ขณะอยู่วัดถ้ำหินผานางคอยได้รู้จักกับพระอาจารย์เขียน ท่านเห็นว่าสามเณรศึกษาวิชากับหลวงปู่พรหมมาสำเร็จแล้ว จึงเอ่ยปากชวนออกธุดงค์เพื่อไปพบกับ พระอาจารย์คำ ธรรมวโร ที่ถ้ำกี่ ภูเขาควาย ประเทศลาว ภูเขาควายแห่งนี้ถือเป็นแดนอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลาวรู้จักกันดี เป็นเทือกเขาใหญ่ติดริมน้ำโขง มีถ้ำน้อยใหญ่สลับซับซ้อน เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้ต้องการบำเพ็ญสมาธิภาวนา เป็นตักศิลาแห่งวิชาไสยศาสตร์อันเล้นลับ ผู้สำเร็จวิชาจากเทือกภูเขาควายจะได้รับการยกย่องนับถือว่าเป็นผู้เจนจบด้านไสยเวทวิทยา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง….สามเณรเอกนรินทร์ได้กราบลาหลวงปู่พรหมมา เพื่อออกธุดงค์เดินทางมาถึงถ้ำกี่ ทราบว่า พระอาจารย์คำ ธรรมวโร ท่านกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำพระอาจารย์ออกมาพบจึงเอ่ยถามว่า “กูรอพวกมึงมานานแล้วพึ่งมาถึงเหรอ แล้วมึงมาเพื่อธุระอะไรกัน” พระอาจารย์เขียนจึงตอบไปว่า “ข้าน้อยพึ่งมาฮอด จะมาขอฝากตัวเป็นศิษย์กับจั๋วน้อย ๑ รูป” พระอาจารย์คำ หันมาถามสามเณรว่า “แล้วกลัวผีไหม” “ไม่กลัวครับ” สามเณรตอบด้วยความมั่นใจ “แน่ใจหรือที่จะมาอยู่กับกู ถ้ามึงจะมาอยู่กับกูจริงๆ ขอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน จะอยู่ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับมึง” พอตกดึกของคืนนั้น สามเณรเอกนรินทร์เผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต มีผีเปรตเฝ้าถ้ำสองตนมาปรากฏร่างให้เห็น แต่สามเณรเอกนรินทร์มีจิตใจแกร่งกล้า ผจญชีวิตมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ หาได้เกิดความเกรงกลัวไม่ นั่งรวบรวมสมาธิ ใช้วิชาดวงธรรมของหลวงปู่พรหมมาแผ่เมตตาให้แก่เปรตพวกนั้น แล้วเปรตพวกนั้นก็ได้อันตรธานหายไปในที่สุด ไม่ออกมาปรากฏกายให้เห็นอีก
พอรุ่งเช้าอาจารย์คำเดินมาหาแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างเมื่อคืนนี้จั๋วน้อย” สามเณรจึงได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระอาจารย์คำจึงเอ่ยขึ้นว่า “อย่างนี้สิถึงจะเป็นลูกศิษย์ของกูได้” จากนั้นพระอาจารย์คำจึงถ่ายทอดสรรพวิชาดวงธรรมต่างๆ ในสายวิชาสำเร็จลุนแห่งบ้านเวินไซ แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ซึ่งสำเร็จลุนท่านเป็นพระเถราจารย์ที่เคร่งครัดทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีความแตกฉานในหลักพระธรรม และพระเวทวิทยาคมเป็นอย่างดี ท่านแต่งตำราพุทธาคมและตำรายาสมุนไพรไว้เป็นอันมาก ด้วยความพากเพียรบวกกับพรสวรรค์ที่ติดตัวมา สามเณรใช้เวลาเพียง ๓ เดือน สามารถสำเร็จวิทยาคมต่างๆ ที่พระอาจารย์คำท่านถ่ายทอดให้ จากนั้นธุดงค์มาอยู่ที่วัดป่านาฮุม ตำบลนาเรียง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม หลังจากนั้นสามเณรเอกนรินทร์ก็ไม่คิดที่จะเดินธุดงค์อีกแล้ว เพราะการที่ท่านได้ออกธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรมและศึกษาสรรพวิชาต่างๆ ที่ผ่านมานั้น ทำให้ท่านได้ค้นพบว่า ที่จริงแล้วการเดินธุดงค์ไม่เป็นการทำให้สำเร็จอรหันต์แต่ประการใด เป็นแต่การฝึกฝนความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก มีตบะ มีขันติ และการรู้จักรักษาตัวให้พ้นภัย นั่นคือคุณสมบัติอันแท้จริงของการออกเดินธุดงค์..ความจริงมีพระเถราจารย์และพระเกจิอาจารย์อีกหลายรูปท่าบออกว่าท่านไม่เคยออกธุดงค์เลยก็มี เช่น ญาท่านสวน วัดนาอุดม พระผู้ทรงภูมิรู้และภูมิธรรมขั้นอุกฤษฏ์ , หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งภาคตะวันออก ท่านก็ไม่เคยออกธุดงค์เช่นกัน เพราะท่านถือคติว่า จะอยู่บ้านหรืออยู่วัด อยู่ป่าหรืออยู่ถ้ำ หรือสถานที่ไหนๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรม ไม่ต้องไปยึดติดกับสถานที่ให้มันวุ่นวายเปล่าๆ คือปล่อยวางไม่ยึดติดในเรื่องสถานที่หรือสมมุติบัญญัติ…

๙ ปีที่จากไป….จึงได้พบโยมบิดา-มารดา
ท่าดำรงความเป็นสามเณรเรื่อยมาอีกหลายปี กระทั่งเติบใหญ่มีอายุได้ ๑๘ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๔๑ โยมบิดาและโยมมารดาได้มาพบท่านจำพรรษาอยู่จังหวัดนครพนม ได้ขอร้องให้สามเณรกลับบ้านเกิด เพื่อพัฒนาวัดวาอารามในถิ่นเกิดให้เจริญรุ่งเรือง และร่วมปลุกจิตสำนึกในด้านศีลธรรม-จริยธรรมให้ประชาชนในถิ่นบ้านเกิดเมืองนอน สามเณรเห็นดีเห็นงามด้วย จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระธาตุอุปมง ต.โพธิ์ศรีสว่าง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ใน พ.ศ.๒๕๔๓ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๒๐ ปีเต็ม ได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมี พระครูจันทรสุวรรณคุณ (หลวงปู่คำปั่น) วัดป่าโนนสวรรค์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “คัมภีโร”
ผลงานการพัฒนา
หลวงปู่เณรอยู่พัฒนาประโยชน์ต่างๆ ให้เกิดกับพระศาสนาและญาติโยมไว้อย่างมากมาย โดยโยมบิดา-มารดา ได้ถวายที่ดินให้ ๖ ไร่ ๓ งาน จึงดำริสร้างวัดไว้เพื่อเป็นที่พึ่งและยึดเหนี่ยวจิตใจแก่ประชาชนและศิษยานุศิษย์ที่เคารพศรัทธา เพื่อเป็นการแทนคุณบิดา-มารดา คุณครูบาอาจารย์ และคุณพระพุทธศาสนา ใช้ชื่อว่า “สำนักสงฆ์บ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี” ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑๑ บ้านเกษตร ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด
สำนักสงฆ์บ้านเกษตรทุ่งเศรษฐีเริ่มก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๙ จนสำเร็จด้วยแรงศรัทธาของคณะลูกศิษย์ลูกหาที่มีต่อหลวงปู่เณรอย่างแท้จริง ปณิธานของท่านคือ “เกิดมาทั้งทีต้องเอาดีให้ได้ เราจะตายทั้งทีต้องฝากความดีไว้ในพระพุทธศาสนา”….
ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา
1.หลวงปู่คำพันธ์ วัดพระธาตุมหาชัย จ.นครพนม เรียนวิชาปลุกเสกวัตถุมงคล
2.หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร จ.อุบลราชธานี เรียนวิชาดวงธรรม
3.พระอาจารย์คำ แห่งภูเขาควาย ประเทศลาว เรียนวิชาสายสำเร็จลุน
4.หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เรียนกรรมฐาน
5.หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เรียนวิชามโนมยิทธิ
6.หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู จ.นครสวรรค์ เรียนวิชาสร้างนกคุ้ม
7.อาจารย์หม่อง ชาวเขมร เรียนวิชาสร้างหุ่นพยนต์ , กุมารทอง , นกสาลิกา
8.หลวงพ่อเชดอร์ ประเทศพม่า เรียนแก้อาถรรย์ ถอนคุณไสย
9.สำนักหลวงพ่อเปิ่น เรียนการสักยันต์
10.หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จ.นครปฐม เรียนวิชานะหน้าทอง
วิชาที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ปัจจุบันท่านได้นำวิชาอาคมต่างๆ มาสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์ เช่น
1.ฝังเข็มเงิน – เข็มทอง , ฝังตะกรุด
2.ดูดวงชะตาด้วยญาณฤาษีตาไฟ , พิธีสาวน้ำตาเทียน
3.ปัดเป่าอาถรรย์และเสนียดจัญไร
4.เป็นเจ้าพิธีไหว้ครู ครอบครู บวงสรวง อ่านโองการอัญเชิญเทพเทวา ตามที่มีผู้นิมนต์ไปทั่วประเทศ โดยนำปัจจัยต่างๆ มาพัฒนาสำนักสงฆ์ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

***สุดยอดเคล็ดวิชาอิ้นคู่ เครื่องหมายแห่งความรัก มีพลังสูงส่งด้านผูกจิต ผูกใจคน โดลเฉพาะเพศตรงข้าม ด้วยฤกษ์จันทร์ซ้อนจันทร์ ***

-บรรจงสร้างตามตำราเขมรโบราณ ชนวนมวลสารแผ่นยันต์มหาเสน่ย์ เช่นยันต์มหาภูติครอบจิต ช้างผสมโขลง เทวดารัญจวน ม้าเสพนาง มหากามสูตร แช่ด้วยน้ำมันเสน่ห์ 108 ที่ดีทางเสน่ห์ล้วนๆ เดินคาถามหาเสน่ย์กามตัณหาเสพสมไม่รู้ลืม เดินมนต์เรียกจิตให้มีจิตของชายหญิง ด้วยมนต์โองการมหาเสน่ย์โบราณตามตำหรับอาจารย์หม่อง

-ผู้พกพา จะเป็นที่รักไคร่แก่ผู้พบเห็น อธิษฐานหาคู่ มีอำนาจดึงดูดเพศตรงข้าม คนไม่มีคู่ก็จะมีคู่ คนอาภัพรักก็จะสมหวัง คู่สามีภรรยาที่เกิดปัญหาแตกแยกใช้แหวนอิ้นนี้จะทำให้เกิดความรักไคร่กลมเกลียวคืนดีกัน แล้วแต่อธิษฐานเถิด

แช่น้ำมันเสน่ห์ จารเต็มทั้งองค์ครับ
ราคาเปิดประมูล80 บาท
ราคาปัจจุบัน280 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 15 มิ.ย. 2554 - 16:53:35 น.
วันปิดประมูล - 16 มิ.ย. 2554 - 17:01:01 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลmolee (1.9K)(2)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     280 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    montian (569)

 

Copyright ©G-PRA.COM