(0)
เหรียญปั้ม-ครึ่งซีก-ตัดชิดขอบ ((เนื้อทองแดงผิวไ))รูปรอย ล.พ.เกษม เขมโก และ รูปรอย พระปิดตา จิ๋ว รุ่น อายุครบ 7 รอบ 84 ปี ลพ.เกษม ออกปี 2538








รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่องเหรียญปั้ม-ครึ่งซีก-ตัดชิดขอบ ((เนื้อทองแดงผิวไ))รูปรอย ล.พ.เกษม เขมโก และ รูปรอย พระปิดตา จิ๋ว รุ่น อายุครบ 7 รอบ 84 ปี ลพ.เกษม ออกปี 2538
รายละเอียด-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

......................((เคาะแรก.....แดงเลยครับ))..................
......................((เคาะแรก.....แดงเลยครับ))..................
......................((เคาะแรก.....แดงเลยครับ))..................

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


…..........เป็นของใหม่....เก็บไว้เก่าเดิมๆ....ไม่ผ่านการใช้....สวยตามรูป...........


.............ได้รับการเสกประจุพลังพุทธคุณเพิ่มเติม โดยญาณองค์เทพอาจารย์ปู่ หมุน ญาณองค์เทพอาจารย์ปู่แสน และญาณที่ 10 (ภาคสุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่พระอรหันต์เจ้า สารีบุตร เถระ นามปู่พรพระพรหม และญาณที่ 10 (ภาคสุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่พระอรหันต์เจ้า โมคคัลลานะ เถระ นามปู่พันธุรัตน์.....((จัดทำเพิ่มพิเศษให้เป็นการเฉพาะ))........

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

............หากชมแล้วชอบ-ก็เชิญท่านว่ากันต่อเลยครับ..................

........................................................................................................................................................................................................................................

............รับประกันความแท้ให้ท่านแบบไม่จำกัดเวลาเลยครับ...............

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ราคาเปิดประมูล299 บาท
ราคาปัจจุบัน319 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ20 บาท
วันเปิดประมูล - 25 ส.ค. 2564 - 10:20:25 น.
วันปิดประมูล - 04 ก.ย. 2564 - 19:37:36 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลราษีเมถุน (3.6K)


(0)
ข้อมูลเพิ่มเติม 1 - 25 ส.ค. 2564 - 10:24:39 น.



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

……….((ขอบอก))...ภาพนี้ขณะที่ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่หมุน แห่งวัดบ้านจาน ท่านกำลังเสกประจุพลังพุทธคุณลงยังวัตถุมงคลที่กองอยู่ตรงหน้าท่าน....โดยมีวัตถุมลคลทั้ง 2 ที่กำลังนำเสนอขายแก่ท่านสมาชิกชิ้นนี้ รวมอยู่ในนั้นพร้อมกันกับวัตถุมงคลชิ้นอื่นๆด้วย ครับ......

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

....((ขอบอก)).......วัตถุมงคลชิ้นนี้....ผมได้นำติดรถไปพร้อมๆกับชิ้นอื่นๆอีกหลายกล่องขนาดบรรจุกระดาษขาว A4 ครั้งละหลายๆกล่องและนำไปซ้ำๆกันหลายๆครั้ง....ทุกๆครั้งที่ได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติสมาธิ ณ สำนักปฏิบัติธรรมพรพระเทพ ที่ อ.บ้านนา จ.นครนายก.....
.......หลังจากศิษย์ทุกคนถอนจิตออกจากสมาธิทุกครั้ง....พวกเรามักจะขอให้อาจารย์ สายทอง อยู่สุข อาจารย์เจ้าสำนัก ผู้ชี้แนะกำกับในการฝึกได้เมตตา อัญเชิญญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ที่ละสังขารจากพระเกจิมาแล้ว มาสนทนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆในมิติที่เราพบจากการนั่งสมาธิ และอัญเชิญญาณพระประธานโบสถ์ที่มีชื่อเสียง เช่น ล.พ.พระใส / ล.พ.องค์ตื้อ / อมิตตพุทธเจ้า วัดจีน หรือองค์เทพที่มีหน้าที่ดูแลประจำโลกองค์อื่นๆ เช่น องค์เทพอาจารย์ปู่ ท่านท้าวพญาครุฑ / องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวเวสุวรรณ / องค์เทพอาจารย์ปู่ท่านท้าวพิฆเณศวร์ ฯ ลงประทับร่างท่าน เพื่อสนทนาธรรม และปิดท้ายด้วยการขอความเมตตาต่อองค์เทพทุกๆองค์ให้ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ทุกๆญาณท่านได้สร้างบุญบารมีต่อเพิ่มกับมนุษย์....

...... (ก) เสกหนุนพลังพุทธคุณที่มีอยู่เดิมให้เข้มขลังเต็มพิกัด…………….((องค์เทพอาจารย์ปู่ (4)-(5) ท่านบอก)).......
.......(ข) เสกเสริมพลังพุทธคุณที่ยังขาด/ยังไม่มีประจุเพิ่มเติมลงไปให้อีกหลายๆบท
...... (ค) เสกล๊อกพลังพุทธคุณทั้งหมดไม่ให้ผู้มีวิชาดูดซับเอาพลังพุทธคุณที่มีอยู่ในแต่ละชิ้นไปไ……….((องค์เทพอาจารย์ปู่ (4)-(5) ท่านบอก)).......

......ญาณที่ได้อัญเชิญลงประทับได้แก่...

......(1) ญาณ ล.พ.พระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย (เฉพาะญาณนี้ ท่านเมตตา เสด็จลงมาประทับแซกเองโดยยังไม่ได้อัญเชิญท่าน วันนั้นผมเอาพระบูชา ล.พ.พระใส ชุด 3 บารมี ขนาด 9-5-3 นิ้วไปเพื่อเบิกเนตรด้วย คิดว่าท่านแซกลงเพราะเหตุนี้)
......(2) ญาณ ล.พ.องค์ตื้อ วัดศรีชมภูองค์ตื้อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย....(ญาณท่านมีเมตตาต่อศิษย์ของสำนักฯมากๆ เพราะท่านว่าเหล่าศิษย์ส่วนมากฝึกจนเข้าถึงซึ่งสมาธิจนติดต่อสื่อสารกันกับอีกมิติได้
......(3) ญาณ อมิตตพุทธเจ้า พระประธานโบสถ์ วัดโพธิ์แมน เขตยานนาวา กทม. (นี่ก็ญานท่านเสด้จมาลงประทับแซกเอง โดยยังไม่ได้อัญเชิญท่าน วันนั้นศิษย์นั่งคุยกันถึงพระพุทธรูปพิมพ์หน้าจีน-และพระกริ่งจีนธิเบต เข้าใจว่าท่านแซกลงประทับเพราะเหตุนี้)....
......(4) ญาณที่ 10 (ปางค์สุดท้าย)ขององค์เทพอาจารย์ปู่ พระอรหันต์เจ้าสารีบุตรเถระ ....นามปู่พรพระพรหม…..((ปู่บอกว่า ท่านลงมาอยู่ที่แห่งนี้ที่เดียวในโลก))
......(5) ญาณที่ 10 (ปางค์สุดท้าย)ขององค์เทพอาจารย์ปู่ พระอรหันต์เจ้าโมคคัลลานะเถระ ....นามปู่พันธุรัตน์.…..((ปู่บอกว่า ท่านลงมาอยู่ที่แห่งนี้ที่เดียวในโลก))
......(6) ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ ล.ป.ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี....
......(7) ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ ล.ป.โต พรมรังษี วัดระฆัง กทม.
......(8) ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ ล.ป.หมุน ฐิตสีโล วัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกศ
......(9) ญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่ ล.ป.แสน ปสันโน วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกศ....

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


.......ผมยังมีพระบูชา(รุ่นแรก)เนื้อกระเบื้องหลังค่โบสถ์ ล.พ.โสธร ขนาดบูชา 9-7-5 นิ้ว ว่าจะนำไปเบิกเนตรและเสกเพิ่มโดยขอให้อาจารย์สายทอง ท่านอัญเชิญญาณ ล.พ.โสธร ลงประทับเสก และเบิกเนตร หลังหมดโควิดระบาด....

......และยังมีพระบูชาเนื้อโลหะรมผิว ล.พ.เหลือ รุ่น 100 ปีขนาด 9 นิ้ว วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กทม.ว่าจะนำไปให้อาจารย์สายทอง ท่านอัญเชิญ ญาณ ล.พ.เหลือ ท่านลงประทับเสก และเบิกเนตรให้อีก....

.....เช่นเคยก็คงนำวัตถุมงคลประเภทพระเครื่อง-เครื่องลาง-ของขลัง-ตะกรุด-ผ้ายันต์ ติดรถไปเสกซ้ำพร้อมกันด้วย.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลเพิ่มเติม 2 - 25 ส.ค. 2564 - 10:26:45 น.



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........((ภาพนี้)).......ขณะญาณขององค์หลวงพ่อพระใส แห่งวัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย ลงประทับยังร่างอาจารย์ฆราวาส สายทอง อยู่สุข เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม พรพระเทพ และผู้ชี้แนะ อ.บ้านนาจ.นครนายก เสกประจุพลังพุทธคุณลงยังวัตถุมงคลที่กองอยู่ตรงหน้า จำนวนมาก ที่ผมนำติดรถไปด้วยทุกๆครั้งที่ได้เดินทางไปฝึกต่อยอดสมาธิที่ สำนัก........

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.............................................((เกร็ดความรู้ที่ประมวลได้จากการฝึกสมาธิมาช้านาน))..............................................

......................................เรื่องการอัญเชิญ ญาณองค์เทพทุกๆพระองค์ลงประทับยัง ร่างมนุษย์..................................

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

…………..……….…เหตุ/ทำไม องค์เทพท่านถึงต้องลงมาประทับ /สิง /ทรง ยังร่างมนุษย์ ก็ด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ...........

........................(ก) ลงมาคุ้มครอง ยังร่างมนุษย์คนนั้นๆ ที่เคยมีความผูกพันต่อกันมาแต่ภพชาติก่อน คือเขาตามมาดูแลช่วยเหลือกันต่อ ((กรณีนี้ไม่ต้องมีตำหนักองค์เทพ)) เพียงฝึกสมาธิ-ภาวนา-รักษาศีล.........
........................(ข) ลงมาโปรดสัตว์ คือตั้งใจจะลงมาสร้างบารมีร่วมกันกับมนุษย์บางคน ((เพราะเทพท่านมีแต่กายทิพย์ ไม่สามารถที่จะทำบุญ เช่นมนุษย์-ได้แต่ทำสมาธิภาวนาเพื่อสร้างบุญบารมี)) ที่ท่านเลือก/เห็นว่าสามารถที่จะไปด้วยกันได้ /เป็นคนดี ((กรณีนี้ต้องมีตำหนักองค์เทพ)) ร่างต้องฝีกสมาธิ-ภาวนา-รักษาศีล-และช่วยเหลือมนุษย์ โดยมนุษย์ต้องเป็นร่างทรงให้ และที่เป็นร่างก็ต้องลงประทับองค์ช่วยเหลือมนุษย์ให้เขา....

........................ทั้ง (ก)-(ข) หากเราไม่ยินยอมที่จะรับอาเขามาอยู่ด้วย.....ก็จะโดนเขาแกล้ง/โดนบีบให้ชีวิตเราเป็นไปต่างๆนาๆ.....ถึงขั้นเป็นคนบ้า ติ้งต๊องเดินตามถนนหนทางดังที่เราเห็นนั่นแหละแทบทั้งนั้น น่าเวทนาสงสาร-เพราะเขาและญาติจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา........ถ้าเป็นถึงขั้นนี้แล้วก็จะหาทางแก้ได้ยาก ต้องหาอาจารย์ที่เก่งดูรู้มาช่วยแก้ไขให้…...
…………………….((เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเคยต่อว่าองค์เทพอาจารย์แม่และอาจารย์ปู่ว่า ทำไมองค์เทพถึงใจร้ายทำกับมนุษย์ที่เขาไม่รู้เรื่องได้แบบนี้ ทำให้ชีวิตเขาพังพินาศหมดตลอดชาตินี้.....องค์เทพอาจารย์ ท่านตอบกลับว่า ก็มนุษย์บางคนดื้อรั้นไม่เชื่อฟังเอง....ผมเลยว่า ทำไมไม่หาวิธีที่ทำให้เขาเข้าใจเห็นดีเห็นชอบด้วยสมัครใจที่จะรับองค์เทพกันละ.....ท่านก็ตัดพ้อผมว่าเราก็อย่าต่อว่าองค์เทพมากนักเลย...ฯลฯ.))).....

………….กรณีทั้ง (ก)-(ข) หากองค์เทพเขาหมายมั่นปั้นมือจะเอาร่างของเราเป็นแม่นมั่นแล้ว.....เราจะรับรู้ได้ 2 ทางคือ.............(1) เจ้าตัวจะรับรู้ได้โดย เกิดมีความผิดปกติในชีวิต การงาน-การเงิน-การดำรงชีพ-ความเป็นอยู่ส่วนตัว/ครอบครัวของเรา....จะมีเหตุไม่คาดคิดต่างๆ ทั้งทางบวก/ทางลบ เกิดขึ้นกับเรา จนเราต้องเกิดความสังหรณ์ใจ วิ่งหาพระสงฆ์องค์เจ้าให้ตรวจดูดวงชะตา/ หรือไม่ก็วิ่งหาพ่อมดหมอผี ทางไสศาสตร์อื่นๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา....ทำไมตัวเราถึงเกิดปัญหา คิดหรือทำอะไรก็ติดๆขัดๆไม่สำเร็จตามหวังทั้งๆที่คิดว่าไม่พลาดแน่
............หากไปเจออาจารย์ที่ดีมีคุณธรรม ของจริงไม่หลอกลวงช่วยแก้ไขแนะนำให้ได้จริงก็นับว่าเราโชคดีไป......เพียงเรายอมรับเขาตามที่เขาบอก.....แต่เราก็ต้องฉลาดที่จะถือโอกาสนี้แลกเปลี่ยนต่อรองผลประโยชน์กับเขาได้ เช่น ถ้าจะมาอยู่กับเราก็จงช่วยให้เราได้สำเร็จสมหวังในการปราถนาทุกประการ เช่นให้มีโชคร่ำรวย/ค้าขายดี/ประกอบกิจการเจริญก้าวหน้านะ......
............(2)เจ้าตัวจะรับรู้จาก การฝัน / นิมิต ตามที่เขามาบอกเราในฝัน.....หากเราละเลย/ เพิกเฉยต่อความฝัน คราวนี้แหละโดนเขาทำอย่างที่บอก....
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.............................การที่ญาณขององค์เทพท่านจะลงประทับร่าง/กายหยาบ ของมนุษย์นั้น......................................
จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ.....คือ การลงมา....1) ลักษณะบุญฤทธิ์.....และ 2) ลักษณะอิทธิฤทธิ์ ครับ......

...........การลงมาลักษณะ ที่ 1) บุญฤทธิ์ ท่านจะลงมาแบบนิ่มนวลไม่โฉ่งฉ่าง-จะเงียบ.....เช่นนี้มักเกิดจากญาณขององค์เทพที่ใหญ่/องค์เทพที่เคยลงมาบ่อยๆแล้ว.......
……......การลงมาลักษณะ ที่ 2) อิทธิฤทธิ์ ก็จะโฉ่งฉ่าง-เสียงดัง-ตัวสั่นแรงแบบที่ท่านเห็นทั่วไปและเรียกว่าผีเข้านั่นแหละ ซึ่งก็จะเห็นกันอยู่ทั่วไป....ทั้งที่เป็นของจริง และของล้อเลียน.......เช่นนี้มักจะเกิดกับการมาขององค์เทพเล็กๆ/ที่เพิ่งลงมาใหม่......ยังไม่สามารถควบคุมญาณของตนกับร่าง/กายหยาบของมนุษย์ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวร่วมกันได้-ดั่งเช่นเราหัดขับรถยนต์ใหม่ๆ-ก็จะใช้สมอง-มือ-เท้า-ในการสั่งการในการขับยังไม่ค่อยชำนาญนั่นแหละครับ.......

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...........................................การประทับร่าง /การประทับทรง /การสิงร่าง มีอยู่ 2 แบบ คือ……………………………………

.........................(ค) แบบเต็ม 100% (คือญาณขององค์เทพลงประทับ/สิงครองร่างมนุษย์เป็นเทพเต็มที่)
.........................(ง) แบบแฝง คือ ญาณขององค์เทพลงประทับ /สิง ครองร่างมนุษย์ได้แค่ประมาณ 10 / 20% (ผมคิดประมาณสัดส่วนเอาเองนะ) จึงเรียกว่ามนุษย์กึ่งเทพ.
--------------------------------------------------------------------------------

........................(ค)-1.แบบเต็ม 100% ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างที่จะอัญเชิญ/ยินยอมให้ญาณขององค์เทพต่างๆลงประทับ /เข้าสู่ตัวเราได้เต็ม 100% จริงๆนั้น....
..............................................................ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้ก่อน..................................................................
................................. (1) ต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิจนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้ไปถึงขั้นแยกจิตออกจากกายตนเองได้ เป็นคนละส่วนกัน ดังที่เรียกกันว่าจิตเห็นกาย – กายเห็นจิต.....
...................................(2) ผู้ที่สามารถฝึกสมาธิได้ถึงขั้นนี้ ส่วนใหญ่จะมีองค์เทพท่านมาขออยู่/มาขออาศัยใช้ร่าง/กายหยาบของเราด้วย เราสามารถเลือกว่าจะให้/ไม่ให้อยู่ ……..หรือจะอัญเชิญญาณเทพองค์ไหนลงประทับร่างเราหรือไม่ก็ได้....
.....................................((เพราะเมื่อตอนจะอัญเชิญให้ญาณขององค์เทพลงประทับยังตัวเรา จิตเราต้องถอยออก /หลีกจากร่างของเราเปิดทางให้ญาณองค์เทพลงแทนจิตเราแบบเต็ม 100%)) ซึ่งขั้นตอนนี้จะสำคัญมากๆต่อเราผู้ที่จะเป็นร่างให้องค์เทพ เพราะอาจไม่สามารถนำจิตกลับเข้าร่างตัวเองได้บางทีอาจมีญาณของดวงอื่นจ้องแทรกเข้าสิงยึดเอาก็ได้ถ้าไม่เก่งจริง...((ดังที่เราเห็นละครแสดงว่ามีการสลับร่างกันนั่นแหละ)).........
..........................(ค)-2 การลงประทับร่างมนุษย์ขององค์เทพได้เต็ม100% จะเห็นร่างเป็นดังนี้....
.....................................1-หูบอด-ตาบอด หมายถึงหูของร่างมนุษย์ที่ถูกองค์เทพลงประทับเต็ม 100% จะไม่ได้ยินที่เขาสนทนากัน และตาก็จะไม่เห็นว่ามีใครเป็นใครบ้างในระหว่างที่เขาสนทนากันกับญาณองค์เทพ....
.....................................2-ใช้เข็มเหยาะ/แทงเบาๆ ร่างจะไม่สะดุ้งสะเทือนเจ็บ/ตกใจเพราะเจ็บ....
.....................................3-ญาณขององค์เทพขณะประทับร่าง ท่านจะไม่สบตากับมนุษย์ เพราะไม่มีแววตา..
....................................4-ปากพูดเสียงเป็นภาษาเทพ-เพราะเทพเขาใช้ปากของร่างเราพูดซึ่งภาษาเทพที่ใช้สื่อสารกัน จะมีหลากหลายแบบ/หลายภาษาแตกต่างกัน ((เรื่องนี้ต้องขอเวลาศึกษาให้ละเอียดอีกทีก่อน-แต่เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทยก็จะมีความหมายเหมือนกัน-ประมาณว่าคนเหนือ-คนอีสาน-คนใต้-คนภาคกลาง พูดภาษาถิ่นตน แต่ทุกๆคนพูด/สื่อสารออกมาในสิ่งเดียวกันทั้งหมด....ซึ่งผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด ถึงต้องใช้เวลาเดินทางไปฝึกสมาธิศึกษาต่อไปอีก))...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.........................(ง)-1.แบบแฝง ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างที่จะอัญเชิญมีทั้งที่ยินยอม...และที่ถูกฝืนใจบังคับให้จนจำยอมรับให้ญาณขององค์เทพต่างๆลงประทับแฝง /เข้าแฝงสู่ตัวเราได้นั้น....
........................................................................ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้.............................................................
....................................... (1) ต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิขั้นต้นๆทำจิตนิ่ง/ว่างได้ธรรมดา แต่ยังไม่ถึงขั้นแยกจิตออกจากกายได้
……………………………….....(2) ภาวนา-รักษาศีล-ทำบุญปกติ
..........................(ง)-2 การลงประทับแฝงร่างมนุษย์ขององค์เทพได้เราจะเห็นจะเป็นดังนี้....
......................................1-หูไม่บอด-ตาไม่บอด หมายถึงหูของร่างมนุษย์ที่ถูกองค์เทพลงประทับแฝง จะได้ยินที่เขาสนทนากัน และตาก็จะเห็นว่ามีใครเป็นใครบ้างในระหว่างที่เขาสนทนากันกับญาณองค์เทพ...ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่เขาเอาความเห็น-ความรู้สึกเดิม/สัญชาตญาณเดิมของตน เข้าไปใช้ประมวลผลออกมาในรูปแบบที่กล่าวอ้างว่าเป็นขององค์เทพ ซึ่งไม่ถูกต้องเลย.เป็นช่องทางให้ /หาประโยชน์จากมนุษย์ผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าหลงเชื่อ
......................................2-ใช้เข็มเหยาะ/แทงเบาๆ ร่างจะสะดุ้งสะเทือนเจ็บ/ตกใจเพราะเจ็บจิต เขายังเป็นของเจ้าของร่างอยู่เช่นเดิม....
......................................3-ญาณขององค์เทพขณะประทับร่าง ท่านจะสบตากับมนุษย์ เพราะส่วนใหญ่แววตายังคงเป็นของร่างเขาอยู่..
......................................4-ปากพูดเสียงเป็นภาษาเทพ-ซึ่งภาษาเทพที่ใช้สื่อสารกัน จะมีหลากหลายแบบ/หลายภาษาแตกต่างกัน ((เรื่องนี้เหมือนกันกับแบบ ข้อ 4 (ค)-2))...เท่าที่ผมดูในยูทูป บางรายเทพแฝงพูดออกมา ผมแปลได้เข้าใจ....แต่บางราย ต้องเอาไปเปิดให้อาจารย์ท่านดูและช่วยแปลให้ ท่านบอกว่าใช่ภาษาเทพจริงมันมีอีกแบบ คล้ายๆกับคนไทยแต่ละภาคพูดภาษาถิ่นตนแต่มีความหมายเดียวกันแหละ..........

…………….((ความหมายของการที่องค์เทพลงแฝง คือ)).......ร่างมนุษย์คนนั้นยังฝึกทำได้แค่สมาธิขั้นต้นๆแต่ยังไม่สามารถแยกจิตออกจากร่างได้ องค์เทพจะเข้าสู่ร่าง / เบียดเข้าไปกินเนื้อที่ในตัวตนเองได้แค่เป็นการแฝง ซึ่งอาจจะแฝง/เบียดเข้ามาในกายได้แค่ไม่กี่% ผมประมาณเองนะว่า อาจแค่ 10/20 %ไม่น่าจะเกินนี้....ถ้าลงได้แค่นี้ แบบนี้เรียกว่า ((มนุษย์กึ่งเทพ))....และต้องเรียกว่าองค์เทพลงแฝง แบบนี้ท่านสมาชิกจะเข้าไปหาดูได้มีเยอะแยะในยูทูป.....พวกเทพลงแฝง จะมีความรู้สึก-นึกคิด-ของมนุษย์มาพูดมากกว่าเป็นคำพูดขององค์เทพ ตามอัตราส่วนการเข้าแฝงในร่างมากน้อย หู-ตา เขาจะยังเป็นของมนุษย์ที่มองเห็น-ได้ยิน เป็นปกติแบบมนุษย์เรานี่แหละ...ส่วนเทพก็จะอาศัยปากก็พูดภาษาเทพแซกปนกับภาษามนุษย์ตามที่ร่างเขาจะพูดเพื่อให้ตนดูว่าเป็นเทพพูด หรือพูดหวังประโยชน์อื่นๆ เพราะเขายังมีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์มากกว่าเทพ..แต่หากองค์เทพลงประทับร่างเต็ม 100% หุ-ตาจะถูกปิด และแทนที่ด้วยญาณขององค์เทพ จะสังเกตุได้ว่าการลงองค์เต็ม 100% จริงนั้น ท่านจะไม่สบสายตาเรา หรือหากเอาเข็มเหยาะลงที่ร่างขณะนั้นจะไม่มีอาการสะดุ้งเจ็บแต่อย่างใด

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

………………....…….มนุษย์เราแยกออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ (ก) เมื่อมีชีวิต (ข) เมื่อหลังหมดชีวิต/ตาย…………………………

..................(ก) เมื่อมีชีวิตอยู่ กายเราจะแยกออกจากจิตได้ชัดเจนเป็นคนละส่วนกันได้แก่ 1-ส่วนที่เป็นกาย และ 2-ส่วนที่เป็นจิต ซึ่ง 2 ส่วนนี้จะแยกออกจากกันได้ก็ต่อเมื่อ เราฝึกสมาธิจนถึงขั้นเข้าถึงซึ่งสมาธิได้จริงๆจนไปถึงการแยกจิตออกจากกายได้เอง ซึ่งเราต้องฝึกฝืนธรรมชาติเอาเอง
1-ส่วนกาย=เมื่อมีชีวิตอยู่ เราจะเรียกว่า ร่างกาย / ตัวตน / สังขาร ฯ /กายหยาบ / ธาตุทั้ง 4
2-ส่วนจิต=เมื่อมีชีวิตอยู่เราจะเรียกว่า จิต / ดวงจิต / ดวงใจ / หัวใจ
...................(ข) เมื่อหลังหมดชีวิต/ตาย ครั้นมนุษย์ตายลงไป จิตเราจะแยกออกจากกายโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องฝึกเป็นสมาธิมาก่อนก็ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติของเขา จิตจะแยกออกจากกายได้ชัดเจนเป็นคนละส่วนกันได้แก่ 1-ส่วนที่เป็นกาย และ 2-ส่วนที่เป็นจิต
1-ส่วนกาย=เมื่อหมดชีวิต/ตาย เราจะเรียกว่า ศพ / สังขาร / ขอน / ซาก
2-ส่วนจิต=เมื่อหมดชีวิต/ตาย เราจะเรียกว่า ดวงจิต / ดวงวิญญาณ / วิญญาณ / ญาณ / กายทิพย์ / ผี

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

……............ด้วยเหตุนี้ ท่านสมาชิก ท่านอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ยังไม่เห็นตามที่ผมบอกมา เพราะขาด/ยังไม่ได้ทำการฝึกฝน ว่าจะไม่มีในโลกนี้นะครับ.......ผมถึงได้เพียรหมั่นบอกกล่าวไหนๆพวกเราก็มีจิตโน้มนำมาทางด้านนี้กันแล้ว จงเป็นชาวพุทธจริงๆ เดินตามทางที่พุทธองค์ค้นหาจนเจอและชี้แนะทางนั้นให้แก่เราแล้ว....โดยให้ท่านหมั่นฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนทุกๆวัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งแล้ว ท่านจะรู้จริงว่า ยังมีอีกมิติหนึ่งคู่กันมากับโลกเราช้านาน คือ โลกแห่งจิตวิญญาณ......ปัจจัดตังเวทิตัพโพ ครับ.........ขออวยพรให้ทุกๆท่านได้ประสบความสมหวังเช่นกันนะครับ....ไม่ยากเกินความตั้งใจครับ........

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

…………………ผมอยากให้ท่านสมาชิกสนใจที่จะเริ่มฝึกสมาธิ....ให้ท่านไปหาหนังมาดูด้วยความตั้งใจ คือเรื่อง....พระพุทธเจ้าศาสดาโลก ....ซึ่ง ทีวีเคยเอามาฉายแล้ว.........ดูเฉพาะช่วง สิทธถะเริ่มออกจากวัง นุ่งห่มชุดนักบวช ไปพบฤษี/ดาบส ดูไปเรื่อยๆ ท่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องทำสมาธิ จนถึงแยกจิตออกจากกาย ตอนที่สิทธถะแยกจิตขึ้นไปพบอาจารย์ อาดารดาบส ท่านถอดจิตไปภาวนาอยู่บนชั้นฟ้าจริงๆ...ซึ่งผมคิดว่า คนเขียนบท/เจ้าของผู้สร้าง เขาน่าจะมีความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการทำสมาธิจนขั้นแยกจิตออกจากกายได้เช่นกัน

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลเพิ่มเติม 3 - 28 ส.ค. 2564 - 18:52:20 น.

ข้อมูลเพิ่มเติม 3 จ. - 09 ก.ค. 2561 - 08:37:26 น.

....(((เล่าสู่กันฟังเบาๆ-ในวันหยุด)))......มานึกย้อนหลังไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา....มีเพื่อนที่ทำงานท่านหนึ่งถามผมว่า.....คุณจะมีวิธีไหนแนะนำให้ผมไปบอกภรรยาผมได้งัยบ้าง-เขาชอบให้ผมพาไปวัดโน้น วัดนี้ (เข้าใจว่าเขาคงจะทนเบื่อรับส่งมานานนะ) เพื่อไปเรียนการฝึกนั่งสมาธิ เปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่อยู่เป็นที่-แล้วก็บ่นว่าสำนักนั้น/สำนักนี้สอนนั่งสมาธิไม่ดี-คงหมายความว่าตัวภรรยาเขาไปฝึกนั่งสมาธิ/ฝึกเดินจงกรมเพื่อทำสมาธิ ณ สำนักนั้นๆแล้ว-จิตเขาไม่สามารถเข้าถึงซึ่งสมาธิได้เลย-เธอจึงกระเสือกกระสน-ให้สามีพาตะลอนเปลี่ยนไปวัดนั้นวัดนี้เรื่อยๆตามที่ได้ยินมา-เพื่อเสาะหาวัดที่ว่า สามารถที่จะสอนให้เธอฝึกจิตจนสามารถเข้าถึงซึ่งสมาธิได้จนเป็นผลสำเร็จนั่นเอง.....

.....ผมพิเคราะห์จากคำบอกของเพื่อนผู้เป็นสามีเธอแล้ว-เห็นว่าข้อแรก-จิตของเธอนั้นมีความตั้งใจที่มั่นคงแน่วแน่+และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะฝึกจิตเขาให้เข้าถึงซึ่งความสงบ-จนจิตเคลื่อนเข้าถึงขั้นสมาธิได้-....นับว่าเป็นทุนเดิมที่เข้มแข็งอยู่แล้ว....ไม่น่าจะเป็นการยากที่จะแนะวิธีให้เธอลองไปคิดสรุปยอดและหาหนทาง/วิธีที่จะนำไปปฏิบัติดู-อย่าทำมั่วไปทุกอย่างเสียเวลา-ไม่ได้ผลหรอก....

........โดยผมบอกให้เขาไปบอกภรรยาว่า-ผมแนะนำให้เขาลองหาข้อสรุปแยกรูปแบบของวิธีการฝึกเข้าสมาธิที่เขาได้เข้าไปเรียนจากสำนักต่างๆมา-ไม่ว่าจะเป็นวิธีเข้าสมาธิโดยวิธีการเดินจงกม/การนั่งสมาธิ/การนอนสมาธิ-ให้เห็นรูปแบบที่ชัดเจนเข้าใจง่ายดูสิว่าเขาเข้าใจว่ามันจะมีกี่วิธี-แล้วค่อยๆทดลองฝึกหาว่าแต่ละวิธีนั้น-จะมีวิธีไหนบ้างที่ถูกกับจริตเรา+และคิดว่าน่าจะเอามาใช้สำหรับตัวเอง...แล้วจงเอาวิธีนั้นมาใช้ประจำตัวเราตลอดไป......(สำหรับผมใช้วิธีกลั้นใจกำหนดจิต-ผ่านทะลุกลางกระหม่อมพุ่งทะลุขึ้นไปสุดๆเลยทีเดียวครับ-ไม่เสียเวลา-แค่อึดใจเดียวเท่านั้น-ไม่ต้องมาดูลมหายใจเข้าพุทธ-หายใจออกโธ/ต้องมาเดินจงกม-ยก-ย่าง-วาง...)

.....ผมบอกเพื่อนว่า.....การที่ภรรยาของเขาเที่ยวตระเวนเสาะหาวิธีการทำสมาธิจากสำนักสอนต่างๆนั้น-ก็น่าจะเป็นการดี-เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้หาความรู้/ได้เห็น วิธีการถ่ายทอด/วิธีการสอนจากสำนักต่างๆ-ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และทำให้มีทางเลือกหลายวิธีที่จะเอามาลองฝึกดู-คิดว่าเธอก็น่าจะพบสัก 1 วิธีที่เข้าไปเรียนรู้มาจากสำนักสอนต่างๆนั้น-ในบั้นปลายเธออาจจะพบกับวิธีที่ถูกกับจริตเธอและยึดถือเอามาเป็นต้นแบบใช้ในการฝึกของตัวเองเป็นประจำก็ได้......

......ผมแนะว่าเราไปเรียนรู้วิธีการปฏิบัติจากสำนักต่างมาก็หลายสำนัก....เราต้องรู้จักหาข้อสรุปให้ได้ว่า-จุดมุ่งหมายของแต่ละสำนักนั้น-เขาต่างก็มีวิธีการถ่ายทอด/สอน-เพื่อให้จิตเราเข้าถึงสมาธิได้-มีวิธีที่แตกต่างกันอย่างไร-จะเห็นได้ว่าหลักใหญ่ๆก็คือ ทุกคำสอน/ทุกๆวิธีที่แต่ละสำนักให้ฝึกปฏิบัตินั้นต่างก็มีจุดมุ่งหมายสุดท้ายเหมือนกันคือ....เพื่อให้ผู้เข้ามาฝึกฝนได้ฝึกฝนจิตสงบรวมเป็นหนึ่งเดียว-จนจิตของเราสามารถเคลื่อนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้ในที่สุดนั่นเอง.....

......แต่จะแตกต่างกันในวิธีการปฏิบัติที่สอนให้เดินทางไปถึงจุดสมาธินั้นได้อย่างไรเท่านั้นเอง....ซึ่งก็เป็นเทคนิคการถ่ายทอดให้แก่ศิษย์แต่ละสำนักได้เข้าใจกัน.....ไม่ว่าสำนักไหนจะมีวิธีการสอนให้นั่งภาวนาพุทโธ/สัมาอรหัง/ยุบหนอ-พองหนอ/เห็นหนอ/หรือสอนให้กำหนดจิตดูสัมผัสตามเส้นทางเดินเข้า-ออก ของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกรูจมูกทั้งสองของเรา....หรือให้กำหนดจิต(นึกเอาเอง)เห็นอสุภะ-คือให้มองดูกายเราตั้งแต่หัวลงมา-หากถลกหนังหัวเข้าไปเห็นทีละชั้น-เห็นกะโหลก-เห็นสมอง ตามลำดับ....หรือการเดินจงกมโดยกำหนดจิตไว้ที่ปลายเท้าเมื่อย่างก้าวแต่ละก้าว-ก็ให้จิตมีสติอยู่ที่นั่นเพียงจุดเดียว-อย่าให้จิตส่าย-วอกแวก.....

.....นี่แหละครับ-คือวิธีการที่จะทำให้จิตของท่านนิ่งเป็นหนึ่งเดียวจนเคลื่อนเข้าสู่ความสงบ และเคลื่อนเข้าสู่สมาธิในที่สุด......ถ้าท่านทำจิตให้รวมอยู่ที่จุดเดียวได้จนสงบ จิตก็จะเคลื่อนเข้าสู่ความเป็นสมาธิโดยลำดับของเขาเองไปเรื่อยๆ....ต่อไปเราแค่พยุงสติเรา-โดยให้มีสติรู้ตัวเราว่าเป็นเราอยู่เสมอตามเขาเข้าไปเรื่อยๆ-อย่าเผลอปล่อยจิตให้ล่องลอย...ฝึกไปบ่อยๆ.แล้วท่านก็จะรู้ว่าจิตกับร่างกายของเราเป็นคนละส่วนกัน-สามารถแยกออกจากกันได้ครับ....จิตจะเห็นกาย-กายจะเห็นจิต...ต่างส่วนต่างเห็นกันได้......ขอพอ-ให้รู้แค่นี้ก่อนนะ......ทุกเวลานาทีที่อยู่ในสมาธิเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาอย่าได้เผลอไผลยินดี/ยินราย/ตกใจจนจิตหลุด กับสิ่งที่ได้ไปพบ/เห็นมาในนั้น-ให้ใช้ปัญญาพิจารณา-บอกได้แค่นี้ครับ..

......สรุปแล้วก็คือการรวมจิตให้เป็นหนึ่งอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งจนแน่นิ่งไม่ส่ายไปที่อื่นสักพักแล้ว-จิตของเราก็จะเข้าสู่สภาวะสงบ และเคลื่อนเข้าสู่สมาธิลึกๆตามลำดับครับ.....

......เราไปเสาะหา/เรียนรู้วิธีการที่จะทำให้จิตของเราสงบ-จนเข้าถึงซึ่งสมาธิได้-จากสำนักต่างๆได้......แล้วนำเอาวิธีนั้นๆมาลองฝึกปฏิบัติที่บ้านเราก็ได้.....บางที-ผมว่าท่านไม่จำเป็นต้องไปค้างแรมที่วัดเป็นเวลานานเช่นภรรยาของเพื่อนผมที่เขามาถามผมหรอก....ฝึกเองที่บ้านเราก็ได้ครับ-ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอยู่ที่วัดในหมู่คนที่มากมาย+มากเรื่อง....เพียงแค่-ก่อนที่ท่านจะล้มตัวลงนอนทุกครั้ง….แค่วันละ 10-30 นาที.+ความตั้งใจมั่น....ใช้เวลาราวๆ 3 เดือนน่าจะรู้ผลกันแล้วครับ......

.......ถ้าท่านฝึกจนชำนาญคือจิตเราสามารถสงบนิ่งจน เข้า-ออก จากสมาธิได้กลับไปกลับมาจนชำนาญแล้ว.....ขั้นต่อไปท่านก็จะสนุก+อยากรู้อยากเห็นว่าในมิติใหม่ที่เราเพิ่งมาพบ/ซึ่งเป็นอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากเรา/โลกหลังความตาย/โลกแห่งจิต-วิญญาณ-กายทิพย์ -ผี (แล้วแต่สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร) ที่ต่างจากเรานั้น....

.....เท่าที่ทราบมา....องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า.....วิธีที่จะฝึกจิตเราให้เข้าถึงซึ่งสมาธิได้มีอยู่ด้วยกัน 44 วิธี (ต้องขออภัยต่อท่านผู้รู้ด้วย-หากคำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ของผมคลาดเคลื่อน-เพราะจำได้คลับคล้ายคลับคลา เท่านั้นครับ) ให้ลองเลือกไปใช้ฝึกดูว่า-วิธีไหนจะถูกกับจริตของเรา-เมื่อพบแล้ว-ก็จงใช้วิธีนั้นนั่นแหละเป็นแนวทางถือปฏิบัติในการฝึกฝนต่อไป.....แล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จแน่นอนครับ.....

......ศาสนาพุทธของเรา....เป็นศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องของจิต/วิญญาณ-กายทิพย์/ผี+สติแล้วจะทำให้เกิดปัญญา ครับ.....ดังนั้นตัวตนของเราที่เป็นคน/มนุษย์กันอยู่ทุกวันนี้แยกออกเป็น 2 ส่วนจากกันได้นะครับ....ส่วนแรกคือร่างกาย/กายหยาบ/กายสังขาร แล้วแต่สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร.....ส่วนที่ 2 คือส่วนที่เป็นจิต/วิญญาณ/ดวงวิญญาณ/กายทิพย์/กายละเอียด/ผี ครับ....ส่วนที่เป็นจิตนี้-ขณะที่เรามีชีวิต-ถ้าท่านฝึกสมาธิได้สำเร็จ-ก็จะสามารถแยกออกจากร่างเป็นคนละส่วนได้อย่างชัดเจน....แต่ถ้ายังฝึกสมาธิไม่ได้ถึงขั้นจิตเข้าสู่ความเป็นสมาธิได้แล้ว....ท่านก็จะแยกออกจากกายไม่ได้/ได้ยาก-เว้นแต่เมื่อจิตท่านตกใจอย่างแรง-เวลานั้นบางท่านจิตก็สามารถออกจากร่างได้เช่นกัน.....แต่แน่นอนที่สุดเมื่อท่านตายลงไป-ดวงจิต/จิต/ดวงวิญญาณ/กายทิพย์/กายละเอียด/ผี (แล้วแต่สำนักไหนจะเรียกว่าอย่างไร) เขาก็จะแยกออกจากร่างไปโดยธรรมชาติของเขาครับ.....

..........งั้นเรามาฝึกแยกจิตออกจากร่างของเราในขณะที่เรายังไม่ตาย-โดยผ่านการฝึกนั่งสมาธิให้สำเร็จนี่แหละ-จะได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้-ดั่งพุทธองค์ทรงชี้ทาง/แนะ/โดยตรัสไว้ว่าสิ่งเหล่านี้....ปัจจัตตังเวธิตัพโพ....เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยเฉพาะตัวเอง-จะบอกให้คนอื่นรู้+ให้เชื่อแบบที่เรารู้/เห็นมาไม่ได้-เพราะภูมิธรรมเราไม่เท่ากัน-บอก/สอนกันไปไม่รู้เรื่องแน่นอน-เผลอๆทะเลาะกันเปล่าๆ-เพราะหาว่าอีกฝ่ายที่บอกว่าบ้า/เพ้อเจ้อ-จะเกิดการเหยียดหยามเยาะเย้ย-ถากถาง-ดูแคลนกันครับ...เพราะภูมิธรรมไม่เหมือนกัน.....พุทธองค์ ถึงทรงต้องห้าม ยิ่งกับสงฆ์สาวกของพระองค์แล้ว กำหนดเป็นโทษปรับขั้นปาราชิก .เรียกว่าผิดศีล อวดอุตริมนุษย์ธรรม ต้องขาดจากความเป็นพระตลอดชีวิต ถ้าท่านอยากรู้ตามที่ผมบอกมา-ก็ขอให้ฝึกนั่งสมาธิกันเอาเอง-เมื่อได้แล้วท่านก็จะรู้+เข้าใจตามที่ผมว่ามากันเองนะครับ.....ผมขอเป็นกำลังใจให้กับสมาชิกทุกๆท่านที่ตั้งใจจะลองฝึกปฏิบัติสมาธิกันนะครับ.....ผมบอกได้ว่าไม่ยากเกินกว่าที่ท่านจะสามารถทำกันได้ครับ....ทุกท่านทุกคนทำกันได้.....ขอให้มีความมั่นคงในจิตเท่านั้นก็จะสำเร็จแน่นอน.....


ข้อมูลเพิ่มเติม 4 - 28 ส.ค. 2564 - 18:56:55 น.

ข้อมูลเพิ่มเติม 4 พ. - 11 ก.ค. 2561 - 14:05:49 น.

......(((เล่าให้ฟังครับ))).....ทุกครั้งที่ผมนำวัตถุมงคล-ทั้งที่เป็นรูปรอยพระสงฆ์เกจิ/พระพุทธรูป และรูปรอยองค์เทพต่างๆ....และเครื่องราง-ของขลัง-ที่เช่าเก็บไว้-จากทุกเกจิ/ทุกๆสำนักที่จัดสร้างออกมา.....ไปยังสำนักปฏิบัติธรรม พรพระเทพ อ.บ้านนา จ.นครนายก......เพื่อให้องค์เทพอาจารย์ปู่-องค์เทพอาจารย์แม่โพธิสัตว์กวนอิม+องค์เทพอาจารย์แม่ทับทิม....ได้ลงประทับผ่านร่างของอาจารย์ฆราวาสสายทอง อยู่สุข เสกประจุพลังพุทธคุณ และเสกประจุพลังเทพไปยังวัตถุมงคลประเภทนั้นๆให้ ((ซึ่งองค์เทพที่มีพื้นฐานมาจากการเป็นพระสงฆ์มาก่อน-ท่านก็จะสามารถ เสกประจุพลังพุทธคุณ ลงไปในวัตถุมงคลทั้งที่มีรูปรอยทั้งที่เป็นพระ/เทพ/เครื่องราง-ของขลังได้....แต่องค์เทพที่ท่านไม่ได้มีพื้นฐานมาจากการเป็นพระสงฆ์ เช่น องค์เทพอาจารย์แม่-พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะเสกได้เฉพาะวัตถุมงคลที่เป็นรูปรอยองค์เทพต่างๆเท่านั้น....หมายความว่าองค์เทพโพธิสัตว์กวนอิม..-ท่านจะเสกพระไม่ได้-จะเสกได้แต่เทพ..ซึ่งนับว่าเป็นความรู้ใหม่สำหรับผมเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาครับ))......

.....อย่างเช่นองค์เทพอาจารย์ปู่หมุน.....ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าของรูปรอยอยู่บนวัตถุมงคลนั้นๆ.....ผมก็จะได้อัญเชิญให้ท่านลงประทับเสกก่อน.....และปิดท้ายทุกๆการเสกประจุพลังพุทธคุณลงในวัตถุมงคลที่มีรูปรอยทั้งเกจิ และทั้งเทพ....และเครื่องรางของขลัง-ผมก็จะได้อัญเชิญญาณขององค์เทพอาจารย์ปู่อาวุโสทั้งสองท่าน.....คือ ญาณที่ 10 (ภาคสุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่ พระอรหันต์เจ้า สารีบุตรเถระ (นามพรพระพรหม) และญาญที่ 10 (ภาคสุดท้าย) ขององค์เทพอาจารย์ปู่ พระอรหันต์เจ้าโมคคัลลานะ (นามพันธุรัตน์) ลงเสกให้อีกที-เป้น การเสกปิดท้ายก่อนจบด้วย....องค์เทพอาจารย์ปู่อาวุโสทั้ง 2 ท่านบอกว่า-ผมทำถูกทุกลำดับขั้นตอนแล้ว.......


 
ราคาปัจจุบัน :     319 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     20 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    lungpai (504)

 

Copyright ©G-PRA.COM