(0)
++ เบี้ยแก้ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน จ.อ่างทอง .. ครั่งเก่าเเห้งสนิท มีปรอท






รายงานผลโหวต

จากรูปพระแท้ 0% [0]
จากรูปพระแท้แต่ข้อมูลไม่ถูกต้อง     0% [0]
จากรูปพระเก๊ 0% [0]
พระดูยากจากรูป 0% [0]

จำนวน โหวต



ชื่อพระเครื่อง++ เบี้ยแก้ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน จ.อ่างทอง .. ครั่งเก่าเเห้งสนิท มีปรอท
รายละเอียดในบรรดาวัตถุมงคลต่างๆ มีเครื่องรางของขลังอยู่ชนิดหนึ่งที่สร้างมาเพื่อแก้คุณไสย์โดยเฉพาะ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเบี้ยแก้ ก็ทำความรู้จักไว้เสียก่อน เบี้ยแก้ทำมาจากหอยเบี้ยโดยหอยเบี้ยถือเป็นเงินตราในสมัยโบราณ ซึ่งก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับหอยเบี้ยในโบราณทั้ง 8 ชนิดกันก่อน
1. เบี้ยโพล้ง
2. เบี้ยแก้
3. เบี้ยจั่น
4. เบี้ยนาง
5. เบี้ยหมู
6. เบี้ยพองลม
7. เบี้ยบัว
8. เบี้ยตุ้ม

สำหรับเบี้ยที่ใช้เป็นเครื่องรางมีเบี้ยจั่น หรือเบี้ยจักจั่น โดยลักษณะทั่วไปของเบี้ยจั่น คือ มีเปลือกแข็ง ผิวเป็นมัน หลังนูน ท้องแบน ช่องปากยาวแคบและไปสุดตอนปลายทั้ง 2 ข้าง เป็นลำราง ริมปากทั้ง 2 เป็นหยักคล้ายฟัน ไม่มีฝาปิด มีความยาวประมาณ 12-24 มิลลิเมตร มีถิ่นแพร่กระจายอยู่ในทะเลเขตอบอุ่นทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย อาทิ ทะเลแดง อินโด-แปซิฟิก นอกชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิกของอเมริกากลาง ชายฝั่งทะเลทวีปแอฟริกาตอนตะวันออกและใต้ ทะเลอันดามัน อ่าวไทย ทะเลญี่ปุ่น ไปจนถึงโอเชียเนีย ดำรงชีวิตอยู่ตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนและสาหร่ายทะเลที่ลอยมาตามกระแสน้ำ
เปลือกหอยของหอยเบี้ยชนิดนี้ มีความสำคัญต่อมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนสิ่งของแทนเงินตราในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าคำว่า "เบี้ย" ในภาษาไทยก็เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "รูปี" ซึ่งเป็นหน่วยเงินตราของอินเดียมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยเบี้ยจักจั่นยังใช้เป็นเครื่องรางของขลังในวัฒนธรรมไทย โดยมักนำไปบรรจุปรอทแล้วเปิดทับด้วยชันโรงใต้ดิน อาจจะมีแผ่นทองแดงลงอักขระยันต์หรือไม่ก็ได้ เชื่อกันว่า ถ้าพกเปลือกหอยเบี้ยชนิดนี้ไว้กับตัวเวลาเดินทางสัญจรในป่า จะช่วยป้องกันไข้ป่า รวมถึงป้องกันและแก้ไขอันตรายจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ หรือนำไปตกแต่งพลอยเรียกว่า "ภควจั่น" ในเด็ก ๆ เชื่อว่าช่วยป้องกันฟันผุ หรือพกใส่กระเป๋าสตางค์ เชื่อว่าทำให้เงินทองไหลเทมาและโชคดี “ภควจั่น” นี้แยกออกเป็นสองคำคือ ภคว เป็นคำย่อของ ภควดี อันเป็นสมญานามของ พระลักษมีและจั่น เป็นคำสามัญหมายถึง เบี้ยจั่น อันเป็นเครื่องหมายของพระลักษมี ซึ่งเป็นเครื่องรางในสมัยอยุธยาที่นำเอาเบี้ยจั่นมาหุ้มด้วยทองแล้วประดับพลอย
ปัจจุบัน เปลือกหอยเบี้ยจักจั่นยังนิยมสะสมกันเป็นของประดับและของสะสมกันอีกด้วย โดยมีชนิดที่แปลกแตกต่างไปจากปกติ คือ "ไนเจอร์" (Niger) ที่หอยจะสร้างเมลามีนสีดำเคลือบเปลือกไว้จนกลายเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลคล้ำทั้งหมด และชนิดที่มีราคาสูงที่สุด เรียกว่า "โรสเตรท" (Rostrat) หรือ หอยเบี้ยจักจั่นงวง คือ เป็นหอยเบี้ยจักจั่นในตัวที่ส่วนท้ายของเปลือกมิได้กลมมนเหมือนเช่นปกติ แต่สร้างแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาหลายปี จนกระทั่งยาวยืดออกมาและม้วนขึ้นเป็นวงอย่างสวยงามเหมือนงวงช้าง ซึ่งหอยในรูปแบบนี้จะพบได้เฉพาะแถบอ่าวด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะนิวแคลิโดเนียที่เดียวในโลกเท่านั้น มีการประเมินราคาของเปลือกหอยลักษณะนี้ไว้ถึง 25 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นราคาของเปลือกหอยที่มีค่าสูงที่สุดในโลกอีกด้วย
เบี้ยแก้มีอิทธิฤทธิ์ทางด้านการป้องกันคุณไสย มนต์ดำ ยาเสน่ห์ กันเขี้ยวงา หรือ แม้กระทั่งกันผี เบี้ยแก้ที่ดังๆ เป็นที่รู้จักกันมีอยู่ 2 สำนัก คือ เบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง และ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ว่ากันว่าอาคมของหลวงปู่ทั้งสองนี้ เข้มขลังนัก ขนาดที่ว่าเสกเบี้ยให้คลานเหมือนหอยได้เลยทีเดียว
วิธีการสร้างเบี้ยแก้คือการนำปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้า ไปอยู่ในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดไว้ไม่ให้ปรอทหนีออกมาได้ อย่างของอาคมประเภท ลูกอม หรือลูกสะกด ต่างๆ ที่ต้องนำปรอทมาหลอมกับทองแดง เงิน ทองคำนั้นเรียกว่าปรอทที่ตายแล้ว ส่วนปรอทที่นำมาทำเบี้ยแก้เรียกว่าปรอทเป็น โดยเมื่อเขย่าตัวเบี้ยแก้แล้วจะได้ยินเสียงดัง "ขลุกๆ" อยู่ในตัวเบี้ย
ถ้าทำเบี้ยในช่วงฤดูร้อน ปรอทจะมีการขยายตัวมาก ทำให้เวลาเขย่าในสภาวะอากาศร้อนก็จะไม่ค่อยได้ยินเสียง "ขลุก" แต่ถ้าในเบี้ยตัวเดียวกันมาเขย่าในช่วงอากาศหนาวปรอทจะหดตัวลงทำให้มีพื้นที่ในตัวเบี้ยเหลือทำให้เขย่าแล้ว ได้ยินเสียง "ขลุก" ได้ชัดเจน เมื่อกรอกปรอทเสร็จแล้วจะปิดช่องด้วยชันนะโรงใต้ดินที่ปลุกเสกแล้ว และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่วแผ่นทองแดงแล้วจึงนำ มาถักเชือกหรือหุ้มทำห่วงไว้ให้ ผูกเอวหรือห้อยคอ ขั้นตอนสุดท้ายคือการปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง เสียงของเบี้ยแก้แต่ละตัวไม่เหมือนกันบางตัวก็ดังมาก บางตัวก็ดังน้อย บางตัวบรรจุปรอทน้อยเกินไปการกระฉอกของปรอทจะดังคล่องแคล่วดีแต่ก็ขาดความหนักแน่น บางตัวบรรจุปรอทมากไปก็อาจจะทำให้เสียงน้อยหรือไม่ได้ยินเลยก็มีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนะครับ คราวหน้าคราวหลังถ้าได้ไปเช่าหาเบี้ยแก้ก็อย่าลืม "เขย่า" ใกล้ๆ หู ฟังเสียงปรอทมันกระฉอกชอบเสียงแบบไหนก็เลือกตัวนั้นเลย
ลูกสะกดปรอท พระปรอท และเมฆสิทธิ์ลักษณะต่าง ๆ เพราะอิทธิวัตถุเหล่านี้ใช้ปรอทแข็ง ซึ่งเป็นปรอทผสมกับโลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดง เงิน และทองคำ เป็นต้น บางทีก็เรียกว่า “ปรอทที่ฆ่าตายแล้ว” ซึ่งจะมีความหมายลึกซึ้ง ประการใดก็ยังไม่ทราบแน่ชัดนัก ส่วนปรอทที่ใช้บรรจุในตัว เบี้ยจั่น นั้นเป็น ปรอทเป็น หรือปรอทดิน เวลาเขย่าเบี้ยแก้ใกล้ ๆ หู จะได้ยินเสียปรอทกระฉอกไปมา เสียงดัง “ขลุก ๆ” ซึ่งเรียกว่า “เสียงขลุก” ของปรอท ดังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ขึ้นอยู่กับปริมาณปรอทที่บรรจุปริมาตรของโพรงในท้องเบี้ย และอุณหภูมิฤดูกาลในขณะนั้น ๆ ถ้าหากการสร้างเบี้ยแก้กระทำในฤดูร้อนบรรจุปรอทมากจนเต็มปริมาตรและเขย่าฟัง เสียงในอากาศร้อน ๆ จะฟังเสียงไม่ค่อยได้ยินเลย แต่เบี้ยแก้ตัวเดียวกัน ลองเขย่าและในฤดูหนาวที่อากาศเย็น ๆ จะได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น
เวลานำปรอทที่ปลุกเสกแล้วก็กรอกลงไปในท้องเบี้ยจั่นพอประมาณ เอาชันโรงใต้ดินที่ปลุกเสกแล้วอุดยาบริเวณปากร่องใต้ท้องเบี้ยให้สนิทเรียบ ร้อย แล้วจึงหุ้มด้วยผ้าแดงที่ลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกแล้ว เสร็จแล้วจึงเอาด้วยถักหุ้มเป็นลวดทองแดงขดเป็นห่วง เพื่อให้ใช้คล้องสร้อยแขวนคอ หรือทำเป็นสองห่วงไว้ใต้ท้องเบี้ย เพื่อร้อยเชือกคาดเอว
เบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว ต่างกับเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอดวัดนายโรง ตรงที่หุ้มผ้าแดงลงอักขระเพราะของหลวงปู่รอดใช้แร่ตะกั่วหุ้ม แล้วจึงลงอักขระลงบนพื้นตะกั่วรอบตัวเบี้ยอีกครั้ง การที่ทราบเช่นนี้ได้ก็เพราะมีผู้อุตริสอดรู้สอดเห็นบางคน เคยผ่าเบี้ยแก้ของทั้งสองสำนักนี้ดู จึงได้ปรากฏหลักฐานการห่อหุ้มอิทธิวัตถุชั้นในภายใต้ด้ายถักลงรัก ซึ่งเป็นเปลือกหุ้มด้านนอกดังกล่าว
ลักษณะการถักด้ายหุ้มด้านนอกเท่าที่สังเกตดู ถ้าเป็นเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญ จะมีการถักด้ายหุ้มตลอดตัวเบี้ยและเป็นลายถักเรียบ ๆ สม่ำเสมอกันตลอดตัวเบี้ย ส่วนเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด จะปรากฏทั้งแบบที่ถักด้ายหุ้มตลอดตัวเบี้ย กับถักเว้นวงกลมไว้บริเวณกลางหลังเบี้ย และลายถักนี้ก็มีทั้งแบบลายเรียบสม่ำเสมอกันแบบลานสอง (เป็นเส้นสันทิวขนานคู่แบบผ้าลายสอง) แต่ข้อสังเกตอันนี้จะถือเป็นกรณีแน่ชัดตายตัวนักไม่ได้ เพราะคาดว่าลักษณะการถักดังกล่าวคงจะมีปะปนกันทั้งสองสำนัก
เสียง “ขลุก” ของปรอท จากการสังเกตเสียงขลุกของปรอทในขณะที่เขย่าเบี้ยแก้ที่ริมหู จะได้ยินเสียงการกระฉอกไปมาของปรอทภายในท้องเบี้ยสำหรับของจริงของสองสำนัก ดังกล่าวนี้จะมี “เสียงขลุก” คล้ายคลึงกันกล่าวคือ จะมีลักษณะเป็นเสียงกระฉอกของปรอทซึ่งสะท้อไปสะท้อนมาหลายทอดหรือหลาย จังหวะ ชะรอยการบรรจุปรอทลงในเบี้ยแก้จะต้องมีเทคนิคหรือกรรมวิธีที่แยบคายบาง ประการเช่น บรรจุปรอทในปริมาณที่พอดีกับปริมาตรภายในห้องเบี้ยกล่าวคือให้เหลือช่อง ว่างไว้พอสมควรให้ปรอทได้มีโอกาสกระฉอกไปมาได้สะดวงและน่าจะเป็นการบรรจุ ปรอทในฤดูร้อน ตอนกลางวันเพราะอุณหภูมิในห้วงเวลานั้น ๆ ปรอทจะมีสภาพขยายตัวมากเมื่อได้รับการบรรจุแล้ว ปรอทก็จะลดตัวลงตามฤดูกาลทำให้เกิดช่องว่างภายในท้องเบี้ยเพิ่มขึ้น สะดวกแก่การกระฉอกหรือคลอน
เบี้ยแก้บางตัวจะมีเสียงขลุกไพเราะมาก เป็นเสียงขลุกที่มีหลายจังหวะ และหลายแบบ คือมีทั้งเสียงหนักและเสียเบา สลับกันอุปมาเสมือนนักร้องที่มีลูกคอหลายชั้นหรือนกเขาเสียงคู่ เสียงเอกที่มีลูกเล่นหลายชั้นส่วนเบี้ยแก้บางตัวที่บรรจุปรอทน้อยเกินไป การกระฉอกของปรอทคล่องแคล่วดีแต่เสียงขลุกขาดความหนักแน่นตรงกันข้ามกับ เบี้ยแก้บางตัว บรรจุปรอทมากเกินไป การกระฉอกหรือคอลนจึงมีน้อย จนเกือบสังเกตไม่ได้
เบี้ยแก้ของสำนักอื่นๆ
นอกจากเบี้ยแก้ของสำนักวัดกลางบางแก้วของหลวงปู่บุญ และของหลวงปู่รอด วัดนายโรงแล้ว ยังมีของสำนักอื่น ๆ อีก เช่น เบี้ยแก้วัดคฤหบดี วัดอยู่ในคลองบางกอกน้อยเช่นเดียวกันกับวัดนายโรงแต่ยังสืบทราบความเป็นมา ของการสร้างเบี้ยแก้ได้ไม่ชัดเจนนัยว่าหลวงพ่อผู้สร้างเบี้ยแก้เป็นศิษย์ของ หลวงปู่รอดวัดนายโรงนั้นเอง เบี้ยแก้ของวัดคฤหบดีจัดว่าเป็นเบี้ยแก่รุ่นเก่า รองลงมาจากของสำนักดังกล่าวลักษณะของเบี้ยแก้วัดคฤหบดีนั้นเท่าที่ทราบและ พิจารณาความจริงของจริงมาบ้างนั้นเข้าใจว่าสัณฐานของตัวเบี้ยค่อนข้างจะเบา กว่าของวัดกลางและของวัดนายโรงสักเล็กน้อย แต่ถ้าค่อนข้างเล็กมากก็กล่าวกันว่า จะเป็นของหลวงปู่แขก เส้นด้ายที่ถักหุ้มตัวเบี้ยของวัดคฤหบดี ค่อนข้างหยาบกว่าของวัดนายโรง และมีทั้งลงรักปิดทองและลงยางมะพลับ (สีน้ำตาลไหม้คล้ำ) ลักษณะการถักหุ้มคงมีสองแบบคือ แบบถักหุ้มทั้งตัวเบี้ยกับ แบบถักเหลือเนื้อที่เป็นวงกลมไว้หลังเบี้ย และเสียง “ขลุก” ของปรอทมีจังหวะและน้ำหนักของเสียงน้อยกว่าของสองสำนักนอกจากนี้ยังสืบทราบมาว่า ทางจังหวัดอ่างทองยังมีเบี้ยแก้อีกสามสำนักด้วยกันคือ
เบี้ยแก้วัดนางใน วัดนางในอยู่หลังตลาด อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง หลวงพ่อผู้สร้างเบี้ยแก้ได้มรณภาพไปนานปีแล้ว และท่านเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อโปร่ง เจ้าอาวาสวัดท่าช้างรูปปัจจุบัน ลักษณะของเบี้ยแก้ไม่ได้ ถักด้ายหุ้ม เมื่ออุดด้วยชันโรงใต้ดินแล้วบ้างก็ใช้หุ้มเลี่ยมด้วยเงิน ทอง หรือนาค และเหลือให้เป็นเนื้อเบี้ยเป็นวงกลมไว้ด้านหลังก็มี
เบี้ยแก้วัดโพธิ์ปล้ำ วัดตั้งอยู่ในตำบลท่าช้าง อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง หลวงพ่อผู้สร้างเบี้ยแก้ก็คงมรณภาพไปนานแล้วเช่นเดียวกัน และท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อโปร่งลักษณะของเบี้ยแก้คงทำนองเดียวกันกับของ วัดนางใน
เบี้ยแก้วัดท่าช้าง วัดตั้งอยู่ในตำบลสี่สร้อย อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง หลวงพ่อโปร่ง “ปญฺญาธโร” เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันเป็นผู้สร้างลักษณะของเบี้ยแก้คงคล้ายกับสองสำนักดัง กล่าว เพราะเชื้อสายเดียวกัน
ความสำคัญของเบี้ยแก้
เบี้ยแก้ตัวนี้สำคัญนัก พ่อค้าแม่ขายจักหมั่นไหว้บูชา จะไต่เต้าเจ้าสัวแสนทะนาน ลาภเต็มห้องทองเต็มไห ขุนนางใดมีไว้ในตัวดีนักแล จักให้คุณเป็นถึงท้าวเจ้าพระยาพานทอง ทรัพย์สินสิ่งของเต็มวัง อีกช้างม้าวัวความนับได้หลายเหลือ หลวงปู่เฒ่าเจ้าสั่งสิ่งอาถรรพณ์ อาเทพอัปมงคลทุกข์ภัยพิบัติทั้งยาสั่ง ให้อันตรธานสิ้นไป ศัตรูปองร้ายให้พ่ายแพ้ภัยตัว ขึ้นโรงขึ้นศาลชนะปลอดคดีความสิงค์สาราสัตว์สารพัดร้าย ปืนผาหน้าไม้ผีป่าปอบและผีโป่ง ทั้งแขยงมิกล้ากล้ำกราย หากมีเหตุเภทภัยอันตรายจะบอกกล่าวเตือนว่า จงอย่าไป
เบี้ยแก้เป็นอิทธิวัตถุชั้นหนึ่งเตือนใจให้สะดุ้งกลัวภัยที่มองไม่เห็นตัว หากบุคคลใดมีไว้เป็นสมบัติ นำติดตัวโดยคาดไว้กับเอว หรือโดยประการอื่นใด ย่อมปกป้องภยันตรายได้ทั้งปวง เป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาดมหาอุดคงกระพันทุกประการ คุ้มกันเสนียดจัญไร คุณไสยยาสั่ง และการกระทำย่ำยี ทั้งหลายทั้งปวงได้ชะงัดนักป้องกันภูตพรายได้ทุกชนิด ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากร้านเก้ามหาเวทย์ครับ

เบี้ยเเก้ตัวนี้ได้มาเเบบบ้านๆครับ ดูง่ายๆ ครั่งเเห้งสนิท เขย่าจะหน่วงมือมีปรอทด้านใน สวยๆตามรุปครับ ท่านใดมองหาอยู่เชิญได้เลยนะครับ ลองพิจารณาดูครับผม


*** ท่านใดที่ประมูลได้ เมื่อปิดการประมูลแล้วหากต้องการเปลี่ยนที่อยู่รบกวนเเจ้งไว้เมล์บล็อกด่วนนะครับ เเละเมื่อทำการโอนเเล้วเเจ้งทางเมล์บล็อกไว้อีกครั้งนะครับ บ้างครั้งทำงานอยู่ไม่สะดวกรับสาย เเละง่ายในการตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งจะทำให้ล่าช้าได้ครับหรือท่านใดต้องการส่งหลักฐานการโอนทาง ID.Line ตามนี้ได้เลยนะครับ pilotuv19 ขอบคุณครับ ****
ราคาเปิดประมูล100 บาท
ราคาปัจจุบัน1,000 บาท (!!! ปิดประมูลแล้ว !!!)
เพิ่มขึ้นครั้งละ100 บาท
วันเปิดประมูล - 07 ก.ค. 2561 - 13:43:15 น.
วันปิดประมูล - 09 ก.ค. 2561 - 10:22:05 น. (ปิดประมูลแล้ว)
ผู้ตั้งประมูลเก๋นครนายก (12.4K)


(0)
 
ราคาปัจจุบัน :     1,000 บาท
เพิ่มขึ้นครั้งละ :     100 บาท

!!! ปิดประมูลแล้ว !!!

ผู้ชนะประมูล    pichans (793)

 

Copyright ©G-PRA.COM